รีวิวซีรี่ย์ Alive ต้องรอดชีวิตให้ได้

รีวิวซีรี่ย์ Alive ต้องรอดชีวิตให้ได้

ความมาแรงของหนังซอมบี้จากแดนกิมจิอย่างเกาหลีใต้ เรียกว่าโด่งดังและเป็นที่ยอมรับกันทั่วสากล ซึ่งหนังอย่าง Train to Busan และ Kingdom เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าหนังซอมบี้จากเกาหลีใต้นั้นมีชั้นเชิงและมีการนำเสนอที่ทัดเทียมกับต่างประเทศได้สบาย ๆ และในปีนี้ตอกย้ำความแรงมากขึ้นไปอีก กับหนังซอมบี้เรื่องใหม่ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า เกาหลีจะขโมยวัฒนธรรมซอมบี้ของฝั่งตะวันตกให้กลายเป็นแนวหนังเฉพาะตัวของตนเองแล้วส่งเอาไปขายต่างประเทศได้อีก เริ่มจากคลื่นความนิยมลูกใหญ่จากฝั่งหนังอย่าง Train to Busan  และสานต่อด้วยคลื่นกระแทกที่สองจากฝั่งซีรีส์ที่มีซอมบี้ย้อนยุคทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง Kingdom ที่ความนิยมสูงมาทั้ง 2 ซีซัน จึงไม่แปลกเลยที่เน็ตฟลิกซ์จะจับกระแสนี้ได้และดึงหนังฉายโรงอย่าง Alive มาเติมเต็มความต้องการของผู้ชมสตรีมมิ่งของตนเองได้อย่างทันท่วงที ดูหนัง 

รีวิวซีรี่ย์ Alive ต้องรอดชีวิตให้ได้

 อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เกาะกระแส asset ใหม่ ‘ซอมบี้สัญชาติเกาหลี’ (K-ZOMBIE) ซึ่งกลายเป็นของเด่นของดังให้งานบันเทิงเกาหลีผงาดขึ้นเรียกความสนใจจากทั่วโลก ทั้งๆที่ผีดิบซอมบี้มีมานานแล้วจากฟากบันเทิงตะวันตก  แต่เหมือนการกลายพันธุ์แตกยีนใหม่ที่ต่างรูปลักษณ์ต่างอรรถรส มีเสน่ห์โดนใจ หลังการกำเนิดครั้งแรกอย่างฮือฮาจาก Train to Busan และการเลี้ยงกระแสตามมาของ RamphantKingdomPeninsula และอีกบางเรื่องที่หยิบไปดัดแปลงใช้เป็นกิมมิคบ้าง ก็คงอาจจะดูจืดๆไปบ้างถ้าจะเจอหนังซอมบี้มาขายซ้ำในวิถีเดิมๆอีก มีมุมน่าสนใจในการหยิบซอมบี้มาเป็นบทสำคัญในการสร้างเรื่องราวการเผชิญหน้าจัดการปัญหา ดูหนังออนไลน์

รีวิวซีรี่ย์ Alive ต้องรอดชีวิตให้ได้

และการเติบโตทางความคิดของเด็กหนุ่มธรรมดาๆในสังคมคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่แอคทีฟเก่งกล้าเป็น somebody ในโลกเกมออนไลน์ แต่การไฟต์ติงเพื่อรอดในชีวิตจริงแบบเป็น nobody ไม่ประสีประสาทักษะชีวิตอื่นๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอ ถึงคราวเจอก็ออกจะอยากมองข้ามด้วยซ้ำ อยากทิ้งให้เป็นปัญหาของผู้ใหญ่ของสังคมด้วยมุมมองของเด็กติดเกมที่มักไม่สนใจเรื่องใดๆรอบตัวอยู่แล้ว แม้แต่คำพูดของแม่เตือนให้ไปเรียนไปซื้อของกินยังถูกละเลยเสมอ หนังมีนัยในการสื่อการย้ายโลกทัศน์ของเขาออกจากจอคอมหรือเกมซึ่งมีเพื่อนๆเยอะก็จริง  ออกมาเจอเพื่อนใหม่ในโลกจริงออฟไลน์ ที่แม้จะมีแค่คนเดียวในสถานการณ์วิกฤตนี้ ก็สุดแสนจะมีค่า แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนมุมดีๆอีกด้านของสื่อโซเชียลในโลกยุคดิจิตอล ที่เหมือนลมหายใจเข้าออกของคนยุคนี้ ให้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้คนรอดตายหายใจได้ต่อไป ดูหนัง 4k

รีวิวซีรี่ย์ Alive ต้องรอดชีวิตให้ได้

แม้ว่าผู้กำกับ อิลโช จะเพิ่งได้เปิดตัวกับหนังยาวเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ตาม แต่ก็ได้นักแสดงรุ่นใหม่ฝีมือเยี่ยมที่เคยผ่านงานหนังของผู้กำกับเทพแห่งเกาหลี อีชางดง อย่าง Burning มาแล้ว อย่าง ยูอาอิน มาประกบคู่กับดาราสาวที่มีผลงานคุ้นหน้าจากซีรีส์ Memories of the Alhambra ทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง พักชินฮเย ก็เป็นแม่เหล็กสำคัญที่เสริมกับพลอตหนังที่ว่าด้วยเด็กหนุ่มติดอยู่ในห้องตนเองขณะที่โลกภายนอกกำลังโกลาหลใหญ่ ให้ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก จริง ๆ ความเจ๋งของหนังเรื่องนี้คือ การเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในห้อง แบบสถานการณ์ที่ตัวละครเป็นหนูติดจั่น ออกข้างนอกห้องลำบากเพราะมีฝูงซอมบี้รายล้อม ในขณะที่สถานการณ์ในห้องก็บีบบังคับเหมือนห้องกับดักที่มีน้ำเอ่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างกับในหนังผจญภัย เพราะเริ่มที่เสบียงมีจำกัดซ้ำร้ายยังเกิดเรื่องราวให้เสบียงหดหายไปไวขึ้นอีก ดูหนังออนไลน์ 4k

โอจุนอู (รับบทโดย ยูอาอิน) เด็กวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในบ้านอพาร์ตเมนต์ กับพ่อแม่และพี่สาว เขามักโดดเรียนประจำ เพราะติดเกม ตื่นสายและเอาแต่ฝังตัวอยู่ในห้องเล่นเกมช่ำชองจนมีเพื่อนในเกมออนไลน์เยอะแยะ วันหนึ่งที่เขาตื่นมาลำพังในบ้าน แล้วพบกับความโกลาหลรอบอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่  เพราะมีฝูงซอมบี้วิ่งไล่กัดผู้คน ซึ่งพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่นทั้งด้านนอกและในอาคารทั่วบริเวณละแวกบ้าน จากข่าวรายงานว่า อาการซอมบี้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนี้ เป็นที่ถกเถียงจนเชื่อว่าคือโรคติดเชื้อจากไวรัส (ช่างดูเข้ากับบรรยากาศโควิด-19 ระบาดเลย) ที่เข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเราเปลี่ยนไปมีพฤติกรรมความรุนแรง หิวโหยไล่กัดกินเนื้อคน คนถูกกัดก็จะติดเชื้อออกอาการซอมบี้ ลามระบาดกันต่อๆไป เบื้องต้นทางการก็ได้แต่เตือนให้ประชาชนอยู่ในบ้านเพื่อความปลอดภัย หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือสัมผัสผู้คนที่ติดเชื้อ ใครๆก็ไว้วางใจไม่ได้ แต่ถ้าต้องหลบตัวเงียบๆอย่างหวาดระแวงอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องนานหลายๆวัน หรือเป็นเดือน ชีวิตจะเป็นอย่างไร คงไม่ง่ายหรอก  รีวิวซีรี่ย์ 

ยูบิน (รับบทโดย พัคชินฮเย) เป็นหญิงสาวอีกคนที่ยังรอดพ้นจากการติดเชื้อ และยังหลบอยู่ในบ้านอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามกับจุนอูโดยลำพังเช่นกัน ซึ่งจุนอูเพิ่งมาพบเห็นเธอภายหลังจากที่ตัวเองผจญภัยกับซอมบี้ไปอย่างทุลักทุเล จนจวนจะสิ้นสุดความอดทนกับการต่อสู้เพียงลำพังไปซะละ ยูบินจะมาเป็นทั้ง ‘ตัวช่วย’ และ ‘เพื่อน’ คนใหม่ คนเดียวที่มีค่ามากสำหรับจุนอู การได้พบกับยูบิน เหมือนได้แรงบันดาลใจและความหวังที่จะผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกันให้ได้ และจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา

จากนั้นการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ถูกตัดทอนลงเรื่อย ๆ เหมือนคนที่ถูกปิดผัสสะต่าง ๆ ทีละอย่าง ตั้งแต่ ห้ามส่งเสียงดัง สัญญาณมือถือที่ขาดหาย จากนั้นก็เริ่มลามไปสู่อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ จนในที่สุดก็แทบไม่รู้อะไรโลกภายนอกอีกเลย ตัวละครต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่ตัวเองมีเอาตัวรอด และเป็นหนังที่ตัวละครใช้ประโยชน์จากโดรนได้คุ้มค่ามากเรื่องหนึ่งและด้วยเวลาที่บีบให้ตัวเอกต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะอดตาย เขาก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตอีกคนที่อยู่อีกฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้หนังเล่นสถานการณ์ต่อเนื่องไปได้อีกขยัก ทว่าจุดที่น่าเสียดายก็มาจากตรงที่หนังเริ่มทิ้งไอเดียเรื่องการเอาตัวรอดในห้องปิดตายไปนี่เอง การถูกปิดตาปิดหูปิดโลกภายนอกที่อุตส่าห์สร้างมาได้น่าสนใจ ก็ยังขยี้ใช้ได้ไม่เต็มที่ดี

เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้จะโฟกัสโมเมนท์การเผชิญหน้ากับปัญหาและเอาชีวิตให้รอดพ้นจากอันตรายของซอมบี้ หนังลดทอนรายละเอียดบริบทอื่นๆออกไป และจะดำเนินเรื่องให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละครจุนอูที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ทั้งการมองปัญหา การเรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอด และความคิดการตัดสินใจ แซมด้วยฉากแอคชันตื่นเต้นลุ้นหวาดเสียวบ้างเป็นครั้งคราว ฉากกดดันความรู้สึก ชวนอึดอัด หรือแม้กระทั่งความหดหู่สิ้นหวัง ซึ่งก็ยังมีสลับหยอดความหวังมาชูใจบ้าง ให้คนดูคอยตามติดลุ้นกลับไปกลับมาว่า เขาจะปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่  เพราะไม่เพียงต้องสู้กับซอมบี้ แต่ต้องสู้กับความกลัว สู้กับใจตัวเองด้วย

จากนั้นการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ถูกตัดทอนลงเรื่อย ๆ เหมือนคนที่ถูกปิดผัสสะต่าง ๆ ทีละอย่าง ตั้งแต่ ห้ามส่งเสียงดัง สัญญาณมือถือที่ขาดหาย จากนั้นก็เริ่มลามไปสู่อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ จนในที่สุดก็แทบไม่รู้อะไรโลกภายนอกอีกเลย ตัวละครต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่ตัวเองมีเอาตัวรอด และเป็นหนังที่ตัวละครใช้ประโยชน์จากโดรนได้คุ้มค่ามากเรื่องหนึ่งและด้วยเวลาที่บีบให้ตัวเอกต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะอดตาย

เขาก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตอีกคนที่อยู่อีกฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้หนังเล่นสถานการณ์ต่อเนื่องไปได้อีกขยัก ทว่าจุดที่น่าเสียดายก็มาจากตรงที่หนังเริ่มทิ้งไอเดียเรื่องการเอาตัวรอดในห้องปิดตายไปนี่เอง การถูกปิดตาปิดหูปิดโลกภายนอกที่อุตส่าห์สร้างมาได้น่าสนใจ ก็ยังขยี้ใช้ได้ไม่เต็มที่ดี

ด้วยความที่หนังซอมบี้เรื่องนี้ ดำเนินด้วยตัวละครแค่ 2 ตัว การได้นักแสดงเจ้าบทบาททั้งสองคนอย่าง ยูอาอิน นักแสดงหนุ่มมาดกวนจาก Vetaran และพัคชินฮเย นักแสดงสาวจาก Memories of Alahmbra ที่แบกและถ่ายทอดเรื่องราวการเอาชีวิตรอดสุดกดดันนี้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะพัคชินฮเยที่พลิกบทบาทจากสาวหวานมากลายเป็นสาวสุดห้าวที่ต้องลงทุนเล่นฉากแอ็คชั่นเอง ทั้งการกระโดด การสู้กับซอมบี้ ที่เรียกว่าสมจริง สมบทบาทสุด ๆ

ด้วยฉากบางฉากที่ตัวละครต้องอยู่ในห้องเป็นระยะเวลานาน การเปลี่ยนแปลงของตัวละครบางครั้งอาจจะต้องมีให้เห็นบ้าง มันเลยทำให้จุดต่าง ๆ ที่ดูละเอียดสุด ๆ อย่างรูปลักษณ์ของตัวละครที่เปลี่ยนไปเมื่ออดอาหารเป็นระยะเวลานานมาก ๆ ทำให้ไม่ค่อยเห็นชัดเจนมากนัก รวมไปถึงฉากจบของเรื่องที่เดาทางง่ายเกินไปหน่อย ทำให้รู้สึกว่าตัวหนังมันยังไม่มีมิติหรือมุมไหนที่ทำให้รู้สึกช็อกเท่าที่ควร แต่สำหรับโปรดักชั่นแบบนี้ และการนำเสนอแบบนี้มันแทบไม่ต้องคิดเยอะมากในการดูสักเท่าไหร่ ทำให้สนุกและเพลิน

ซึ่งปัญหานี้ในองก์ต่อมาที่พระเอกเจอนางเอกแล้วก็ทวีความน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีก เพราะหนังต้องไปเล่นท่าประหลาดจากหนังเอาตัวรอดกลายเป็นหนังบู๊ 1 ต่อ 100 ที่ดูเกินจะเชื่อ ทั้งการออกแบบฉากหนีตายพร้อมสู้กับฝูงซอมบี้ก็ดูไม่ค่อยหนักแน่นลงตัวนัก ความเชื่อถือต่อหนังเลยยิ่งอ่อนแอลงไปอีก นี่ยังไม่นับสภาพว่าคนที่ติดอยู่ในห้องเป็นเดือน ๆ (นึกภาพคนกักตัวอยู่บ้านช่วงโควิด-19 ที่แย่กว่าตรงที่ไม่มีอาหารดี ๆ มากพอเต็มมื้อมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ)

แล้วจะยังดูไม่ค่อยอิดโรย แถมยังแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะได้ขนาดนั้นอีกทว่าในความที่คิดแบบฉากต่อไปจะเป็นอะไรได้อีก ไปเรื่อย ๆ ที่อาจสร้างรูโหว่ในบท และการเปลี่ยนแนวหนังไปเรื่อย ๆ ถึง 3 ครั้งจากเอาตัวรอดห้องปิดตาย เป็นบู๊ระห่ำเพื่อช่วยเธอ จนไปถึงองก์ท้ายที่กลายเป็นดราม่าเขย่าขวัญจิตวิทยา ที่ทำให้หนังไม่ค่อยเป็นหนึ่งเดียวกันนัก และกราฟความมันก็ไม่ค่อยไต่ได้ดีนักในองก์ท้าย

โดยสรุป จึงเป็นความสนุกในแบบที่ต้องไม่ตั้งความคาดหวังแอคชันกระหน่ำ หรือทริลลิงสุดระทึก หรือเรื่องราวที่มาที่ไปมากมาย แบบหนังซอมบี้อื่นๆที่เคยชมมา เพราะหนังเรื่องนี้คงตั้งใจให้ผู้ชมโฟกัสกันไปที่ how to be alive ทั้งความหมายตรงตามตัวอักษร (literally) และ ความหมายนัยที่แฝงไว้เป็นสาระให้เอาไปคิดต่อกันค่ะการใช้ยุคสมัยปัจจุบันมาบวกกับเรื่องของซอมบี้ระบาด

แถมสอดแทรกการเอาตัวรอดที่น่าลองไปทำ บวกกับความกดดันและระทึกที่ชวนลุ้นอยู่บ้าง #Alive จึงอยู่ในเส้นมาตรฐานของหนังซอมบี้เกาหลีที่ยอมรับและดูสนุกอีกเรื่องหนึ่ง หากเป็นคนที่เคยผ่าน Train to Busan หรือ Kingdom มาก่อน หนังเรื่องนี้ก็ดูได้ไม่ยาก แถมเพลินและสนุกจนอาจจะเป็นหนึ่งในหนังซอมบี้ที่คุณชอบก็ได้

อย่างไรก็ดีหนังก็วางตัวเป็นหนังซอมบี้ที่ดูง่ายเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนมาก เหมาะกับการดูเพื่อพักผ่อนเอาสนุกเอามันแบบไม่เครียดจัดเกินไป ซึ่งอาจเป็นข้อดีที่พอให้อภัยจากการที่มันไม่ได้ฉายโรงและลงสตรีมมิงทันที และว่ากันแบบแฟร์ ๆ ในความไม่คงที่ของหนัง ก็ยังดูกลมดูอิ่มดูพอเป็นไปได้มากกว่าภาคต่อของ Train to Busan อยู่หลายขุมอยู่