รีวิวซีรี่ย์ D.P.

รีวิวซีรี่ย์ D.P. จุนโฮ ชื่อเรื่องที่เขียนเป็นตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษ 2 ตัวว่า “D.P.” นั้น ย่อมาจาก Deserter Pursuit ที่มีอยู่จริงในกองทัพของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหน่วยสารวัตรทหารที่มีหน้าที่ในการติดตามไล่ล่าเหล่าทหารที่หลบหนีออกจากกองทัพ เปรียบประหนึ่งนักสืบที่ต้องแฝงตัว สืบเสาะหาเบาะแสของผู้หลบหนีไปทั่วประเทศ นอกฐานทัพ ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ นักเขียนบทคิมโบทง ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บตูนต้นฉบับ และได้ร่วมเขียนบทในซีรีส์เรื่องนี้ เคยปฏิบัติหน้าที่ประจำหน่วย “D.P.” มาก่อน ซึ่งเขาได้รังสรรค์เรื่องราวจากประสบการณ์จริง และการเก็บข้อมูลจากคนในหน่วย มากางแผ่ให้เราได้เข้าไปสัมผัสโลกของ “D.P.” ที่ไม่เคยได้สัมผัสผ่านซีรีส์เรื่องไหนมาก่อน เว็บดูหนัง 

จะบอกเล่าเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจไล่ล่าทหารหนีทัพ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ สิบโทพัคบอมกู (รับบทโดย คิมซองกยุน) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้กุมบังเหียนออกคำสั่งและผู้ปกครองของคู่หู D.P. ที่นำทีมลุยงานภาคสนามโดย ฮันโฮยอล (รับบทโดย คูคโยฮวาน) นายทหารร้อยเล่ห์ที่เพิ่งถูกลากตัวกลับมาปฏิบัติภารกิจหลังถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล มาประกบกับคู่หูคนใหม่ อันจุนโฮ (รับบทโดย จองแฮอิน)

ทหารเกณฑ์หนุ่มที่เพิ่งเข้ารับประจำการได้ไม่นาน ซึ่งเขาโดดเด่นด้วยการมีความอดทนเป็นเลิศ และเปี่ยมไปด้วยไหวพริบ ที่ได้มาจากการเรียนรู้หาวิธีเอาตัวรอดจากมรสุมชีวิตมาตั้งแต่เด็ก หลังประสบปัญหาทางครอบครัว แต่ยิ่งพวกเขาตามล่าเหล่าทหารหนีทัพ พวกเขาก็ยิ่งเข้าใจสาเหตุของความพยายามในการฉีกกฎข้ามรั้วลวดหนามสุดชีวิตของคนหนุ่มทั้งหลาย และได้พบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ “ควรหวนคืนสู่กองทัพ” ยิ่งกว่าไพร่พลผู้หลบหนีเสียอีก

จองแฮอิน เป็น พลทหารอันจุนโฮ ใบหน้าเรียบเฉยกับความว่างเปล่าในแววตา อาศัยทักษะเชิงมวยและความอดกลั้นเพื่อเอาตัวรอดในกองทัพ ในความเฉยนิ่งแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ต้องเก็บและกดข่มเอาไว้ ทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเขาต้องผ่านความเจ็บช้ำมาจนด้านชา ไม่รู้ทำไมกับงานซีรีส์โรแมนติกทุกเรื่องของเขาไม่เคยดึงดูดฉันให้อยากดู ยกเว้นหนังที่เล่นกับคิมโกอึนที่ได้ดูเพราะยาวแค่ 2 ชั่วโมง แต่กับบทบาทแบบใน Prison Playbook หรือในเรื่องนี้ ฉันว่าน่าสนใจกว่าและเขาก็ทำได้ดีอย่างน่าชื่นชม

ในตอนแรกที่ได้เห็นภาพโปรโมทจากทาง Netflix ตัวผู้เขียนได้คิดไปเองว่าคงจะเป็นซีรีส์แอคชั่นสุดระห่ำสินะ แต่พอได้รับชมแล้วก็ต้องบอกเลยว่ามันสนุกและครบรสมาก อาจมีแอคชั่นตอนไล่ล่าบ้างเล็กน้อยเท่านั้น หากใครมีความคิดแบบเดียวกันล่ะก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนได้อ่านรีวิวเรื่องนี้ให้จบก่อนตัดสิน เว็บดูหนังฟรี  รีวิวซีรี่ย์ D.P.

ตัวผู้เขียนชอบซีรีส์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะทั้งหกตอนนั้นเต็มไปด้วยความสนุกครบรส ไม่ว่าจะเป็นความตลก ความโกรธ ความแค้น ความรู้สึกผิดผ่านตัวละครตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นคือเคมีนักแสดงหลักทั้ง 3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกทีมดีพีอย่าง ‘อันจุนโฮ’ และ ‘ฮันโฮยอล’

ซีรีส์ดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในตอนแรกได้เปิดเผยถึงชีวิตพลเรือนอันจุนโฮที่รับจ็อบไปเรื่อยก่อนจะมาเป็นพลทหารอันจุนโฮ เมื่อได้เข้ามาเป็นทหาร ก็อย่างที่กล่าวไปในส่วนแรกว่าอันจุนโฮมีความสามารถที่โดดเด่นจนได้ถูกคัดเข้าหน่วยล่าทหารหนีทหาร ในช่วงสามตอนแรกจะเป็นการสืบเบาะแสและตามตัวทหารแต่ละคนที่มีปัญหาและเหตุผลแตกต่างกันออกไป

ระหว่างทางที่เราได้ร่วมสืบไปกับสองสมาชิกทีมดีพี จะได้สัมผัสถึงเคมีและความเป็นพ่อลูก(ที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่)ระหว่างจุนโฮและโฮยอล แม้จะได้ขำไปกับความทะเล้นและคำพูดคำจาของโฮยอล แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นว่าจุนโฮเองก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาของโฮยอล เรียกได้ว่าเป็นคู่หูที่คอยซัพพอร์ตกันแบบน่ารักและอบอุ่นมาก

นอกจากการตามล่าทหารที่หนีไปแล้ว ซีรีส์ชุดนี้ยังตีแผ่ความรุนแรงและการกลั่นแกล้งภายในกรมทหารเกาหลีที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ตีแผ่การกระทำต่อเหล่าพลทหารเท่านั้นยังรวมถึงสวัสดิการและการกดขี่พลทหารชั้นผู้น้อยอีกด้วย

เรื่องราวเริ่มเข้มข้นเมื่อเข้าสู่ตอนที่สี่ของซีรีส์ชุดนี้ เป็นตอนที่เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียด ความหดหู่ ความรู้สึกอึดอัด (อันที่จริงผู้เขียงเองก็เริ่มสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่สามบ้างแล้ว) ตลอดจนความคับแค้นและความเห็นใจให้แก่ตัวละครในเรื่อง ซึ่งต้องบอกว่าในตอนสุดท้ายนั้นค่อนข้างจะหนักหน่วงใจมากเลยทีเดียว

ฉากชีวิตนอกค่ายทหารของ D.P. ก็มีความหมายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยการสะท้อนให้เห็นว่า ระบบชนชั้น การเล่นพรรคเล่นพวก และความรุนแรงไม่ได้ฝังรากลึกอยู่แค่ในค่าย แต่แพร่กระจายอยู่ในทุกอณูของสังคม ประเด็นนี้ถูกนำเสนอผ่านฉากเล็กๆ

อย่างฉากเด็กขโมยเงินทอนอย่างหน้าซื่อตาใส แม่ที่ไม่คิดจะตรวจสอบความจริง เข้าข้างลูกและกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ ฉากเจ้านายที่เอาเปรียบและกดขี่ลูกน้อง ในต้นและท้ายเรื่อง การกดทับทางสังคมเหล่านี้อาจะทำให้ค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่เดียว ที่ทำให้ คนอย่าง ‘ฮวังจางซู’ ทหารที่ชอบทำร้ายรุ่นน้องพลิกจากเบี้ยล่างสู่การเป็นเบี้ยบนเป็นครั้งแรก หนังฟรี 

ฉากเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสะพานให้ปัญหาในค่ายทหารที่ในตอนแรกดูไกลตัวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าทหารไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็ต่างเป็นผลผลิตของสังคม ความรุนแรงที่เกิดในค่ายอาจจะเป็นแค่ภาพสะท้อนของสังคมภาพนอกเท่านั้น

“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ตอนที่ผมโดนทำร้ายจะเกือบตาย ก็ไม่เห็นทำอะไร แต่กลับพยายามช่วยชีวิตสวะแบบมัน”

หากเราย้อนกลับมามองอีกที ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกองทัพอย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่าในช่วงเวลานี้ ที่โรงเรียน สถานศึกษา ที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งในครอบครัวก็ยังคงมีปัญหาการกลั่นแกล้ง การทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะทางวาจาหรือทางกายก็ตาม แต่ความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจคือผู้คนมากมายยังคงมีบาดแผลจากเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งนั้น

ปัญหาเหล่านี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมปัจจุบันที่พวกเราอาจเมินเฉยจนอาจทำให้มนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตและจิตใจเหมือนกับเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส จะต้องรอให้เรารู้สึกผิิดและเกลียดตัวเองเหมือนอันจุนโฮในตอนสุดท้ายก่อนหรือเปล่า หรือต้องรอให้มีชีวิตใครสักคนพังทลายต่อหน้าต่อตาเราถึงจะช่วยกันยุติปัญหาเหล่านี้ได้

แม้ว่าในตอนท้ายของซีรีส์อาจไม่มีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำให้ทางกองทัพของประเทศเกาหลีนั้นได้ออกมาแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในค่ายทหาร และอ้างอิงจากชาวเกาหลีที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังจากได้ชมซีรีส์นั้น หลายเสียงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าค่ายทหารเกาหลีในปัจจุบันจะได้รับการปฎิรูปให้ดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ก็เป็นพลังของประชาชนในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยมีทั้งผู้เรียกร้องและรับฟังทำให้ทุกอย่างมีการพัฒนา พูดถึงตัวละคร (มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วนในซีรีส์)

นอกจากบทที่สะท้อนถึงปัญหาภายในสังคมแล้วนั้น ผู้เขียนเองก็อยากจะพูดถึงตัวละครที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจแม้จะดูซีรีส์จบไปแล้ว สองตัวละครที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงก็คือ อันจุนโฮ ผู้แบกความรู้สึกจากการเมินเฉย และโจซอกบง เหยื่อผู้ที่ไม่เคยได้รับความยุติธรรม หนังใหม่ 

เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วจะรับรู้ถึงความรู้สึกผิดหวังและโกรธตัวเองของอันจุนโฮได้ตั้งแต่ตอนแรก ด้วยความอ่อนประสบการณ์และด้วยความละเลยของอันจุนโฮในตอนแรกทำให้ทหารหนีค่ายเคสแรกได้จบชีวิตตนเองลงอย่างน่าสลด ลึก ๆ แล้วจุนโฮเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้พลทหารรายนั้นเสียชีวิต แต่ยิ่งผู้ปกครองหน่วยอย่างพัคบอมกูมาตอกย้ำยิ่งทำให้อันจุนโฮยิ่งมีความรู้สึกหนักอึ้งติดอยู่ในใจตลอดมา

เมื่อถึงเรื่องของซอกบง รุ่นพี่ทหารที่แสนใจดี คอยดูแลจุนโฮอยู่ตลอดนั้น ในเรื่องเราจะเห็นฉากที่ซอกบงทำความสะอาดรองเท้าให้จุนโฮก็จะได้กลับไปพักผ่อนนอกค่าย ซอกบงได้ฝากจุนโฮซื้อปากกาสีเพื่อมาวาดรูป แต่สุดท้ายแล้วจุนโฮก็ไม่ได้ซื้อกลับมาให้เพราะเกิดเรื่องราวมากมาย จึงทำให้ซอกบงหันไปทำร้ายร่างกายพลทหารรุ่นน้องเพื่อระบายอารมณ์

ฉากต่อมาเป็นฉากที่จุนโฮไม่เข้าใจในการกระทำของซอกบงและได้ขอให้ซอกบงหยุดทำร้ายพลทหารรุ่นน้อง ในตอนนั้นเองซอกบงก็ได้พูดออกมาว่าจุนโฮไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกหรอก และนั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของซอกบงว่าแม้แต่จุนโฮเองก็ไม่สามารถช่วยเขาได้เลย ความรู้สึกโกรธ อับอาย และไม่ยุติธรรมที่ตนเองต้องโดนอยู่เพียงคนเดียว ความรู้สึกคับแค้นที่ตนนั้นไม่สามารถทำอะไรเพื่อตัวเองได้และไม่มีใครที่คิดจะทำเพื่อช่วยตนเองเหมือนกัน

ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในฉากที่สุดท้ายที่อุโมงค์รถไฟก่อนที่ซอกบงจะเลือกทางเลือกของตัวเอง มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนดูจะต้องรู้สึกจุกในอกอย่างแน่นอน ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ชมทุกคนที่ได้ดูฉากนี้คงจะต้องรู้สึกเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะความรู้สึกนี้เราสัมผัสและแบกรับมันผ่านตัวละครอันจุนโฮมาตั้งแต่ตอนที่ 1 และถูกตอกย้ำจนจุกในตอนสุดท้าย

โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่าซีรีส์ได้เล่าผ่านมุมมองของอันจุนโฮมาตั้งแต่ต้นเรื่อง จึงทำให้เราได้รับความรู้สึกของอันจุนโฮมาอย่างเต็ม ๆ เมื่อถึงฉากประโยคด้านบนนั้นมันยิ่งยากที่จะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และหากเรามองในมุมของซอกบงแล้วมันดูเหมือนว่าทุกคนพยายามช่วยผู้กระทำจริง ๆ ในขณะที่ผู้ถูกกระทำอย่างตนเองแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถึงอย่างนั้นแล้วทุกคนก็ยังทำเหมือนว่าตนเองทำผิดอย่างมหันต์

รีวิวซีรี่ย์ D.P.

รีวิวซีรี่ย์ D.P.

ซีรีส์ได้ถ่ายทอดถึงความรู้สึกที่ทุกคนเองต่างก็รู้ว่าซอกบงไม่ใช่คนผิด อย่างตอนที่นายทหารใหญ่ได้สั่งกำลังติดอาวุธไปไล่ล่าซอกบง แต่พลทหารเกิดความลังเลใจและถกเถียงกันว่าพวกเขาควรทำแบบนี้กับซอกบงหรือ เพราะทุกคนรับรู้มาตลอดว่าซอกบงนั้นคือผู้ถูกกระทำต่างหาก เขาไม่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นคนผิดอย่างนี้ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรุนแรงหรือการฆ่ากันจะเป็นทางออกที่ดี แต่ ณ เวลานั้นถ้าเราเป็นซอกบงเราคงสติหลุดเหมือนกัน)

ในความยาวเพียงแค่ 6 ตอน ซีรีส์ได้พาคนดูเดินทางสำรวจไปกับเรื่องราวได้หลากหลายแง่มุม ทั้งที่มาที่ไปของบุคลิก การกระทำของตัวละคร ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างค่อนข้างมีเหตุมีผล ให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้ไม่ยาก แถมยังเดินเรื่องได้สนุก ฉับไว ไม่น่าเบื่อเวิ่นเว้อ โดยความน่าตื่นเต้นยังทวีคูณในช่วงของการติดตามไล่ล่าทหารหนีทัพ ที่คู่หู D.P. ต้องปฏิบัติภารกิจซึ่งต้อง บุ๋นและบู๊ ไปในเวลาเดียวกัน กับการใช้สมอง ไหวพริบ เล่ห์กลในการตามหาเบาะแสเพื่อติดตามตัวผู้หลบหนี อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายกับการไล่ล่าสุดระห่ำ ในฉากแอคชั่นสุดบ้าบิ่นที่ที่ทำให้คนดูลุ้นไปยันปลายเท้า ดูหนังฟรี 

แม้ว่าหน้าหนังของซีรีส์เรื่องนี้จะดูเดือดดาล ระห่ำ และมืดมิด แต่ซีรีส์กลับนำเสนอออกมาหลากรสหลากอารมณ์กว่าที่คาด มีทั้งการสอดแทรกมุกตลกที่หยอดเข้ามาเรื่อย ๆ ระหว่างเรื่อง ทำให้พอยกยิ้มคลายเครียดกันไปบ้าง (แม้อาจจะให้ความรู้สึกตลกร้ายไม่น้อย) หรือบางครั้งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น น่าประทับใจในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “D.P.” จะทำให้ผู้ชมต้องปะทะกับความหม่นหมอง และความหดหู่ ชวนสะเทือนใจเข้าอย่างจัง พร้อมกับตีแผ่เสียดสีวงการทหารของเกาหลี ราวกับพาผู้ชมขึ้นรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ ซึ่งทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีเสน่ห์ ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง

หากว่ากันตามกฎหมายของเกาหลีใต้ ชายหนุ่มสัญชาติเกาหลีทุกคนต้องผ่านการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติในกรมทหาร ก่อนอายุ 30 ปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะสงครามทุกเมื่อ (จะได้รับการยกเว้นเป็นบางกรณีเท่านั้น เช่น นักกีฬาที่สร้างผลงาน/ชื่อเสียงให้กับประเทศ) ดังนั้นการเข้าไปอยู่ในกรมทหารไม่ใช่เป็นการตบเท้าเข้าไปอย่างสมัครใจของทุกคนเสียทั้งหมด แค่การต้องเข้าไปอยู่เพราะเป็น ‘หน้าที่ที่ต้องทำ’ ว่าน่าอึดอัดใจมากพอสำหรับพวกเขาแล้ว ซ้ำยังต้องไปเจอกับระบบอันหล่อหลอมให้หลายอย่างเน่าเฟะโสมม ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกองทัพร่วม 2 ปี ทางเลือกสุดบ้าบิ่นอย่างการ ‘หนีทหาร’ จึงกลายเป็นฟางเส้นเดียวที่คนหนุ่มหลายคนเอื้อมมือคว้ามาเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานที่ที่อาจเป็นดั่งขุมนรกไปได้

ตัวซีรีส์จึงได้เปิดแผงฉายภาพความเน่าเฟะภายในกรมทหารอย่างตรงไปตรงมาในหลากหลายประเด็น ระหว่างการไล่ล่าหาสาเหตุที่ทำให้ทหารทั้งหลายต้องการหลบหนี ตั้งแต่ตอนแรกที่มีนายหารละเลยในหน้าที่ นำเงินในการทำภารกิจ (ซึ่งคงจะมาจากภาษีประชาชน) ไปถลุงเที่ยวเล่นตามอำเภอใจ คนบางกลุ่มมีสิทธิพิเศษในการเลี่ยงทหาร ไล่เรียงมายันถึงการใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทารุณขืนใจ ซึ่งถูกทำให้เหมือนเป็นเรื่องเล่น ๆ ปกติในกรมทหาร กลายเป็นการกระทำให้ความบันเทิงของพวกเหล่ารุ่นพี่หรือนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เชิดหน้าชูตา อุปโลกน์ว่าตนอยู่เหนือคนอื่น

ซึ่งสะท้อนไปยังอำนาจครอบงำที่กลืนกินชุดความคิดและการปฏิบัติของคนในองค์กรแบบฝังรากลึก ที่มองมนุษย์คนอื่นเป็นที่รองมือรองเท้า จะใช้อำนาจออกคำสั่งอย่างไรก็ได้ และเมื่อคำสั่งการของผู้บังคับบัญชาการ หรือผู้ที่มียศเหนือกว่าถือเป็นประกาศิต ก็ต้องมีพวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่เอาแต่ “ได้ครับพี่ ดีครับผม” พยายามเอาอกเอาใจหัวหน้า แบบไม่สนสิ่งที่ถูกที่ควร อีกทั้งยังมีการที่ทหารชั้นผู้ใหญ่พยายามซุกซ่อนปัญหาที่เกิดขึ้นเอาไว้ใต้พรม ราวกับว่าเรื่องอันโสมมเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ดูหนังออนไลน์