รีวิวซีรี่ย์ Empress Ki
ละคร “กีซึงนัง จอมนางสองแผ่นดิน (Empress Ki)” นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเรืองอำนาจในยุคปลายของมองโกลราชวงศ์หยวนเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เธอไม่ได้เป็นชาวมองโกลและไม่มีเชื้อสายชาวฮั่น หากเป็นสตรีชาวโครยอซึ่งเป็นอาณาจักรเล็กๆ ในแถบตะวันออกไกล มิหนำซ้ำ ดูหนัง
เธอยังเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ถูกราชสำนักโครยอจับไปเป็นบรรณาการแก่ราชวงศ์หยวนอีกด้วย แต่สุดท้ายหญิงต้อยต่ำอย่างเธอกลับได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์หยวน และชื่อของเธอก็คือ “จักรพรรดินีกี” หรือ “ฉีฮองเฮา” ในภาษาจีน ดูหนังออนไลน์
และ “สมเด็จพระจักรพรรดินีโอลชีคูตูค” ในภาษามองโกลเลีย เป็นหนึ่งในฮองเฮาของ “ทอคอนเตมูร์” หรือ “จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง” (จักรพรรดิองค์ที่ 12 และองค์สุดท้ายของราชวงศ์หยวน) และพระมารดาขององค์ชาย “อายูร์ชีรีดาร์” หรือ “จักรพรรดิหยวนเจ้าจง” ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนเหนือ ดูหนัง 4k
เธอเป็นสตรีชาวโครยอที่เกิดในครอบครัวขุนนางระดับล่าง มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ “กีชอล” ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เด็กชายและเด็กสาวชาวโครยอจำนวนมากได้ถูกส่งไปเป็นบรรณาการให้มองโกลราชวงศ์หยวน โดยเด็กชายถูกส่งไปเป็นขันที ส่วนเด็กสาวถูกส่งไปเป็นนางกำนัลและพระสนม (พระราชาโครยอต้องส่งหญิงบรรณาการไปให้ราชสำนักหยวนทุกๆ 3 ปี) ดูหนังออนไลน์ 4k
จักรพรรดินีกีก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่ถูกส่งไปเป็นบรรณาการให้ราชสำนักหยวน ในตอนแรกเธอไม่เต็มใจ แต่พอไปถึงต้าหยวนเธอก็ตัดสินใจว่าจะเป็นพระสนมที่ดีและโดดเด่นที่สุด ด้วยความที่มีรูปลักษณ์งดงามกว่าใคร ทั้งยังมีทักษะในด้านการร่ายรำ ขับร้อง เขียนพู่กัน แต่งบทกวี และมีวาทะศิลป์ เธอจึงกลายเป็นพระสนมคนโปรดของทอคอนเตมูร์ (ฮ่องเต้) อย่างรวดเร็ว รีวิวซีรี่ย์
ฮ่องเต้หลงรักพระสนมกีและใช้เวลาอยู่กับนางมากกว่า “ทานาชีรี” (ฮองเฮาพระองค์แรก) หลังฮองเฮาทานาชีรีถูกประหารอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการก่อกบฏของ “ทังกีเซ” ผู้เป็นพี่ชาย ฮ่องเต้พยายามแต่งตั้งพระสนมกีเป็นฮองเฮาพระองค์ที่สอง (ในตอนนั้นมี “จักรพรรดินีบายันคูตูค” (หลานของ “บายัน” และน้องสาวของ “ทอคตอ”)
ดำรงตำแหน่งฮองเฮาอยู่ก่อนแล้ว) แต่เนื่องจากเป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติ (ฮองเฮาควรเป็นชาวมองโกล) ราชสำนักจึงไม่เห็นด้วย ประกอบกับ “บายัน” ซึ่งกุมอำนาจในราชสำนัก ณ เวลานั้น และไทเฮาต่างพากันคัดค้าน ฮ่องเต้เลยไม่สามารถแต่งตั้งพระสนมกีขึ้นเป็นฮองเฮาองค์ที่สองได้ แต่หลังจากให้กำเนิดพระโอรสพระสนมกีจึงถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาองค์ที่สอง หรือ “จักรพรรดินีกี” ในที่สุด
หลังจากนั้นจักรพรรดินีกีก็กลายเป็นผู้เรืองอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากฮ่องเต้ไม่ค่อยสนพระทัยและไม่โปรดการบริหารบ้านเมือง ผิดกับจักรพรรดินีกีที่มีพรสวรรค์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจอำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือนาง ด้วยความที่โครยอเป็นประเทศราชของราชวงศ์หยวน
กีชอลในฐานะพระเชษฐาของจักรพรรดินีกีจึงกลายเป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักโครยออย่างแท้จริง เป็นที่รู้กันว่ากีชอลนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการฉ้อฉลและอำนาจของเขาก็ทำให้ราชบัลลังก์ของพระราชาสั่นคลอน “พระเจ้าคงมิน” ต้องการปลดแอกโครยอจากราชวงศ์หยวนจึงทำการยึดอำนาจและกวาดล้างอิทธิพลของตระกูลกีในโครยอโดยสังหารคนตระกูลกีจนหมดสิ้น
เมื่อจักรพรรดินีกีทราบข่าวจึงตอบโต้ด้วยการเลือกองค์ชายมองโกล “ทัชเตมูร์” ให้มาเป็นพระราชาโครยอองค์ใหม่แทนและส่งกองทัพมองโกลมาโจมตีบ้านเกิดของตน แต่สุดท้ายทัพมองโกลราชวงศ์หยวนก็พ่ายให้กับกองทัพโครยอ พระเจ้าคงมินจึงหยุดส่งบรรณาการให้ราชวงศ์หยวน หลังจากนั้นไม่นานราชวงศ์หยวนก็ถูกราชวงศ์หมิงโค่นล้ม
“จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง” กำลังจะเสด็จไปร่วมพระราชพิธี เมื่อเห็น “พระเจ้าชุงฮเย” (วังยู) พระราชาแห่งโครยอยืนดักรอบนสะพานเพื่อกล่าวคำอำลาก่อนเดินทางกลับโครยอ พระองค์จึงตรัสถามว่าจะไม่ไปร่วมพิธีหน่อยหรือ เมื่อพระราชาวังยูตอบว่าตนไม่มีเหตุผลที่จะเข้าร่วม ฮ่องเต้ฮุ่ยจงจึงตรัสว่าการที่หญิงบรรณาการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงฮองเฮานับว่าเป็นเกียรติแก่โครยอ
และถ้าไม่ได้ ‘นาง’ ป่านนี้พระราชาวังยูคงตายไปแล้ว ฮ่องเต้ฮุ่ยจงย้ำว่านางเป็นคนช่วยชีวิตอันไร้ค่าของเขา พระราชาวังยูได้ยินดังนั้นจึงฝากขอบพระทัยก่อนเดินหนีไป เมื่อถูกถามว่ายังรัก ‘ซึงนัง’ อยู่ใช่ไหม พระราชาวังยูหยุดเดินชั่วขณะและพยายามกล้ำกลืนความเจ็บช้ำก่อนเดินต่อไปโดยไม่พูดจา ฮ่องเต้ฮุ่ยจงเองก็ปวดใจไม่แพ้กันจึงตะโกนบอกพระราชาวังยูทั้งน้ำตาว่า “ข้ารักนาง นางเป็นทุกสิ่งของข้า นางไม่ใช่ของเจ้า เข้าใจรึยัง เข้าใจรึเปล่า?”
พระสนมกีแต่งตัวเตรียมเข้าพิธีด้วยสีหน้าเรียบเฉย ครั้นพอหยิบแหวนคู่ (ของพ่อกับแม่) ที่ร้อยเก็บไว้ในเชือกขึ้นมาดูก็เผลอยิ้มออกมา แต่หลังจากสาวใช้เข้ามาบอกว่าพระราชาวังยูได้เสด็จออกจากตำหนักเพื่อเดินทางกลับโครยอแล้ว พระสนมกีก็มีสีหน้าเศร้าหมอง… ในที่สุดพระสนมกีก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮองเฮา
โดยพระราชพิธีได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ แม้จะมีผู้คนมาร่วมงานมากมาย (รวมทั้งองค์ชาย “วังโค (อ๋องแห่งเสิ่นหยาง)”) และมีฮ่องเต้ฮุ่ยจงอยู่เคียงข้าง แต่ในสายตาของพระสนมกีกลับมีเพียงพระราชาวังยู (ซึ่งยืนดูอยู่ไกลๆ) พระสนมกีน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นแววตาที่แสนปวดร้าวของพระราชาวังยู ขณะที่พระราชาวังยูได้แต่ยืนมองหญิงอันเป็นที่รักด้วยน้ำตาคลอเบ้าก่อนหันหลังเดินจากไป
สองพี่น้อง “ถังฉีซื่อ” และ “ถ่าล่าไห่” บุตรชายอัครมหาเสนาบดี “เยี่ยนเถี่ย” แห่งราชวงศ์หยวน (มองโกล) ได้นำกำลังทหารคุมตัวหญิงบรรณาการชาวโครยอเดินทางไปยังเมืองต้าตู้ของต้าหยวน โดยมีองค์ชายรัชทายาทวังยูแห่งโครยอร่วมเดินทางในฐานะตัวประกัน องค์ชายวังยูเห็นหญิงชาวโครยอ รวมทั้ง “กีนัง” กับแม่
ถูกถ่าล่าไห่จับมัดและเฆี่ยนตีอย่างทารุณก็อดรนทนดูไม่ได้จึงสั่งให้หยุด จากนั้นก็บอกให้แก้มัดและรักษาบาดแผลให้พวกนาง เมื่อถังฉีซื่อรู้เข้าเลยเตือนว่าพระองค์อยู่ในฐานะตัวประกันของต้าหยวนจึงไม่มีสิทธิออกคำสั่งพวกตน (ในตอนนั้นโครยอเป็นประเทศราชของราชวงศ์หยวน เหล่าองค์ชายโครยอทุกพระองค์จึงต้องเสด็จไปยังเมืองต้าตูตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เพื่อรับการอบรมและปลูกฝังวิถีชีวิตแบบชาวมองโกล ทั้งยังต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษามองโกลเลีย และอภิเษกกับเจ้าหญิงมองโกลด้วย)
รีวิวซีรี่ย์ Empress Ki
องค์ชายวังยูสงสัยว่าหญิงโครยอที่สภาพร่างกายบอบช้ำเหล่านี้จะมีชะตากรรมเช่นไรเมื่อเดินทางไปถึงต้าหยวน เมื่อขันทีคนสนิท “พัง ชินอู” ทูลว่าพวกนางจะถูกขายไปเป็นทาสหรือไม่ก็นางคณิกา องค์ชายวังยูจึงแอบปล่อยตัวพวกนางจากที่คุมขังกลางดึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือการเปิดประตูให้ทุกคนเดินไปสู่ความตาย
หลังรู้ว่าหญิงบรรณาการชาวโครยอพากันหลบหนีเข้าป่าไปจนหมด ถังฉีซื่อกับถ่าล่าไห่จึงนำกำลังออกไล่ล่าและสังหารทุกคนที่พบ แม่ของกีนังถูกยิงด้วยหน้าไม้เข้าที่กลางหลังทำให้ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น กีนังได้แต่ร้องเรียกและพยายามปลุกให้แม่ตื่น เมื่อถังฉีซื่อมาพบเข้าก็หัวเราะอย่างผู้มีชัยก่อนเล็งหน้าไม้ไปที่กีนัง
แม่ของกีนังเห็นดังนั้นจึงเอาร่างตนบังกีนังไว้ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็กลิ้งตกลงจากเนินเขา แม่กีนังรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะตายจึงบอกให้กีนังรักษาตัวและมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอมอบแหวนเงินให้กีนังพลางบอกว่าแหวนวงนี้พ่อของกีนังมอบให้ตนและเขายังมีชีวิตอยู่ เธอทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงฝืนพูดได้เพียงคำว่า “สกุลกี” และ “แหวนคู่” จากนั้นก็สิ้นใจ
องค์ชายวังยูมองศพหญิงชาวโครยอที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกผิด และร่ำไห้เสียใจท่ามกลางสายฝนที่ไม่สามารถปกป้องราษฎรของตนได้ เมื่อ “องค์ชายวังโค” (เสิ่นหยางอ๋อง) มาพบเข้าจึงพูดถากถางองค์ชายวังยูว่า องค์ชายที่ฆ่าราษฎรของตนไม่มีสิทธิขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ไม่เพียงทรงพระเยาว์แต่ยังไร้ซึ่งความสามารถ ขอได้โปรดทรงทำเพื่อบ้านเมืองด้วยการไปตายที่ต้าหยวนและอย่ากลับมาเหยียบแผ่นดินโครยออีก พูดจบเขาก็หัวเราะเยาะแล้วเดินจากไป
กีนังตัดผมแล้วปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายจากนั้นก็ออกตามหาคนสกุลกีในเมืองหลวง ในเวลาเดียวกันนั้น แม่ทัพ “กี จาโอ” ซึ่งนั่งอยู่ในร้านขายซุปกับลูกน้องก็กำลังมองแหวนเงินพลางคิดถึงลูกเมียที่พลัดพรากและตามหามานาน ลูกน้องของจาโอเห็นดังนั้นจึงปลอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะภรรยาของเขาเป็นฝ่ายหอบลูกหนีไปเอง
เมื่อลูกน้องแนะให้จาโอลองไปสอบถามเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นต่างๆ ดูเผื่อว่าอาจได้เบาะแสอะไรบ้าง จาโอจึงรีบเก็บแหวนแล้วออกจากร้านไปทันที กีนังได้ยินแม่ค้าขายผ้าบอกว่าเจ้าของร้านขายซุปเป็นคนสกุลกีจึงรีบมาถามหาคนสกุลกีที่ร้าน โชคร้ายที่จาโอออกจากร้านไปเสียก่อนทำให้คลาดกัน
กีนังเห็นถังฉีซื่อและพวกควบม้าเข้ามาในตลาดเลยรีบวิ่งหนีด้วยความตกใจ (เธอลืมไปว่าตนตัดผมและปลอมตัวเป็นชายแล้ว) ด้วยความที่มัวแต่วิ่งหันรีหันขวางกีนังจึงวิ่งตัดหน้าม้าของเสิ่นหยางอ๋องและโดนม้าเตะจนสลบ เมื่อเห็นว่าเด็กชายตรงหน้ายังไม่ตายเสิ่นหยางอ๋องจึงพากลับไปพักรักษาตัวที่จวน
คืนนั้นถังฉีซื่อนัดหารือและทานอาหารกับเสิ่นหยางอ๋อง เขาเปรยว่าหากวันใดองค์ชายวังยูกลับมาครองแผ่นดินโครยอคงไม่ยอมส่งหญิงบรรณาการให้ราชสำนักหยวนเป็นแน่ เสิ่นหยางอ๋องจึงบอกถังฉีซื่อว่าอย่าให้องค์ชายวังยูรอดกลับมา เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตนได้ครอบครองทั้งโครยอและเสิ่นหยาง ถังฉีซื่อกล่าวว่าราชสำนักหยวนจะต้องเรียกร้องให้โครยอส่งหญิงบรรณาการไปให้ใหม่ เสิ่นหยางอ๋องจึงบอกให้ถังฉีซื่อวางใจ เพราะตนได้ส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมากไปให้ราชสำนักหยวนในนามของตนแล้ว
กีนังฝากตัวเป็นข้ารับใช้เสิ่นหยางอ๋องโดยโกหกว่าตนชื่อ “ซึงนัง” หลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนวิธียิงธนูหมายชำระแค้นให้แม่และหญิงชาวโครยอที่ถูกส่งไปเป็นบรรณาการที่ต้าหยวน 13 ปีต่อมา ซึงนังกลายเป็นนักแม่นธนูและยังคงแต่งตัวเป็นชาย เธอเป็นหัวหน้าแก๊งรับจ้างขนส่งเกลือจากโกดังเกลือในย่านอินจู (ในยุคนั้นการลักลอบค้าเกลือเป็นสิ่งผิดกฏหมายและมีโทษหนัก)
เมื่อเห็นว่าปริมาณเกลือมีมากกว่าเดิมถึงสองเท่า เธอจึงเรียกเก็บค่าจ้างจากเสิ่นหยางอ๋องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเพราะต้องใช้คนมากขึ้นและเป็นงานที่อาจมีภัยถึงชีวิต เสิ่นหยางอ๋องยอมจ่ายเท่าที่ซึงนังต้องการและบอกว่าต่อไปปริมาณเกลือจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “โจชัม” ได้ยินดังนั้นจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะเกรงว่าสักวันพวกตนอาจถูกราชสำนักจับได้
แต่เสิ่นหยางอ๋องจำเป็นต้องยอมเสี่ยงเพราะอีกไม่นานพระราชาโครยอจะประกาศชื่อผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เพื่อสนับสนุนให้ตนได้รับเลือกราชวงศ์หยวนจะต้องเรียกร้องบรรณาการเพิ่มมากขึ้นแน่ ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่าตนเป็นตัวเก็ง เพราะพระราชาทรงพระประชวร ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย
ที่แท้เสิ่นหยางอ๋องสั่งให้โจชัมคอยตามสอดแนมพฤติกรรมองค์ชายวังยู (ซึ่งกลับมาโครยอแล้วและปกปิดฐานะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้) องค์ชายวังยูจึงแกล้งทำเป็นขึ้นเวทีประลองกับนักเลงแล้วพ่ายแพ้ยับเยิน (แท้จริงแล้วคู่ต่อสู้ขององค์ชายวังยูคือ “จอมพัค” ซึ่งเป็นคนขององค์ชายที่พูดติดสำเนียงชาวเหนือ)
ขันทีพังและจอมพัคเห็นองค์ชายหมดสติจึงพากันร่ำไห้ด้วยความเป็นห่วง อยู่ๆ องค์ชายวังยูก็ลุกขึ้นนั่งแล้วดีดนิ้วพลางบอกว่าตนจะไปอินจู (ปัจจุบันคือ “อินชอน”) ขันทีพังเห็นว่าองค์ชายวังยูมัวแต่สนใจเรื่องการต่อสู้จึงเตือนว่าเสิ่นหยางอ๋องกำลังจ้องฮุบบัลลังก์โครยอ องค์ชายวังยูแย้งว่าตนไม่สนเรื่องเสิ่นหยางอ๋อง
จากนั้นก็หันไปถามจอมพัคด้วยความตื่นเต้นว่าฝีมือของพวกนักเลงในย่านอินจูเป็นอย่างไร ขันทีพังแอบส่งสัญญาณบอกจอมพัคว่าอย่าพูด แต่จอมพัคไม่สนใจและเล่าว่าพวกนั้นมักติดต่อและทำการค้ากับพวกหยวนเป็นประจำเลยเขี้ยวลากดินทำให้รับมือได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าแก๊งที่มีฉายาว่า “ซึงนังอี” กล่าวกันว่าคนๆ นี้สามารถยิงนกได้ในระยะเกือบ 300 เมตร ทั้งยังคอยคุ้มกันพ่อค้าแม่ค้าในเมืองอินจู และรับลูกชายทาสมาเป็นสมุน โดยเรียกคนเหล่านั้นว่าลูกหมา องค์ชายวังยูได้ฟังดังนั้นจึงชวนทุกคนไปล่าลูกหมาจิ้งจอกที่อินจู
ความจริงแล้วซึงนังตั้งแก๊งเพื่อระดมเงินไถ่ตัวและช่วยเหลือญาติพี่น้องของลูกสมุนที่ถูกส่งตัวไปเป็นหญิงบรรณาการที่ต้าหยวน โดยหวังว่าสักวันจะพาหญิงบรรณาการทุกคนกลับโครยอ ในระหว่างที่เธอหารือเรื่องนี้กับลูกน้อง ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาตามซึงนัง
ปรากฏว่าจอมพัคพาคนบุกไปหาเรื่องซึงนังที่โรงเตี๊ยม ทั้งยังทำวางท่าและพูดจาอวดเบ่งกับซึงนัง แต่ซึงนังไม่เล่นด้วย เธอยิงธนูเข้าที่มือของจอมพัคเพื่อเป็นการตักเตือน ก่อนขู่ว่าถ้ายังซ่าไม่เลิกธนูดอกต่อไปจะปักเข้าที่หัวใครบางคน หรือไม่ก็บนใบหน้าของจอมพัค
จอมพัคกลับมารายงานองค์ชายวังยูว่าฝีมือยิงธนูของซึงนังทั้งเร็วและแม่นยำมากจนตนไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดยังไง
องค์ชายวังยูพิจารณาลูกธนูในมือ (ซึ่งมีขนาดเล็กและสั้นกว่าธนูทั่วไป) ก่อนถาม “ชเว มูซง” ว่าเคยเห็นลูกธนูลักษณะนี้ไหม มูซงกล่าวว่านั่นคือลูกธนูน้อย เป็นลูกธนูสั้นที่ใช้ยิงผ่านรางไม้ ถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่อานุภาพร้ายแรงมาก (ธนูดังกล่าวใช้ลูกธนูยาวเพียงครึ่งหนึ่งของลูกธนูทั่วไปเพื่อให้ยิงได้เร็ว แรง และไกลกว่าเดิม
เวลายิงจึงต้องเสียบลูกธนูเข้าไปในลำไม้ไผ่หรือรางไม้เพื่อจะได้ดึงสายธนูให้ตึง) องค์ชายวังยูฟังแล้วชักเริ่มสนใจในตัวซึงนังเลยอยากท้าดวลกันซักตั้ง มูซงเห็นว่าเสี่ยงเกินไปจึงขอประลองกับซึงนังเอง องค์ชายวังยูแย้งว่าตนไม่เคยยิงธนูแพ้ใครและอยากเห็นฝีมือของซึงนังกับตาตนเอง
ในที่สุดองค์ชายวังยูและซึงนังก็เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก องค์ชายวังยูท้าให้ซึงนังมาแข่งยิงธนูกับตนโดยบอกว่าถ้าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จะยอมจากไปแต่โดยดี แต่ถ้าตนเป็นฝ่ายชนะซึงนังจะต้องมาทำงานให้ตน องค์ชายวังยูอ้างว่าการแข่งขันยิงธนูแบบปกติมันน่าเบื่อเกินไปเลยเสนอให้ต่างฝ่ายต่างดื่มเหล้าคนละจอกก่อนลงมือยิง
(เพราะคิดว่าตนคอแข็งกว่าจึงน่าจะได้เปรียบ) ซึงนังเลยเสนอให้นำฝาไม้ปิดไหเหล้ามาทำเป็นเป้าและให้ลูกน้องคนหนึ่งของพวกตนเป็นคนชูเป้า (แม้จะคอไม่แข็งแต่ซึงนังมั่นใจว่าตนยิงแม่นกว่า) องค์ชายและพวกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อซึงนังถามลูกน้องว่าใครจะอาสามาชูเป้าให้ตน ปรากฏว่าทุกคนต่างแย่งกันชูมือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งชิงหยิบฝาไหมาถือไว้ในมือแล้วบอกว่าตนจะเป็นคนชูเป้าให้เอง
องค์ชายวังยูหันไปมองคนของตนเพื่อดูว่าใครจะอาสามาเป็นหน่วยกล้าตาย ปรากฏว่าทุกคนต่างพร้อมใจกันหลบตาและเบือนหน้าหนี ซึงนังจึงเย้ยว่าไม่มีเชื่อมั่นในตัวเขาสักคน ขันทีพังไม่อยากให้องค์ชายเสียหน้าเลยสะกิดมูซง มูซงจึงขันอาสาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เมื่อซึงนังเริ่มดื่มเหล้าแล้วลงมือยิง ลูกน้องของเขายืนชูเป้าแบบชิลๆ
เพราะมั่นใจในฝีมือของหัวหน้า ผิดกับมูซงที่ลุ้นระทึกและหลับตาปี๋ทุกครั้งเวลาองค์ชายวังยูเล็งธนูมาที่ตน หลังสลับกันดื่มและยิงธนูได้พักใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีอาการมึนเมา ถีงกระนั้นซึงนังยังคงสู้ไม่ถอยและยิงแม่นเหมือนเดิม ในขณะที่องค์ชายเริ่มยืนโอนเอนทำให้เล็งธนูส่ายไปมา มูซงเลยต้องเอียงตัวตามด้วยใจระทึก เมื่อธนูพุ่งเข้าเป้ามูซงก็แทบร่ำไห้ด้วยความดีใจที่รอดตาย
ในที่สุดซึงนังก็เริ่มประคองตัวไม่อยู่ ลูกน้องของเขาเห็นดังนั้นก็เริ่มกังวลแต่ยังคงร้องบอกซึงนังให้ยิงโดยไม่ต้องห่วงตน มูซงส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัวและภาวนาไม่ให้ซึงนังยิงเพราะกลัวโดนลูกหลง เมื่อซึงนังเล็งไปที่เป้าแล้วพบว่าตนตาพร่า ทั้งยังเห็นสีหน้ากังวลของลูกน้อง เธอจึงเล็งธนูไปที่องค์ชายวังยูแทน
ลูกน้องของทั้งสองฝ่ายต่างพากันกรูเข้าไปห้ามและดึงธนูออกจากมือซึงนัง องค์ชายวังยูชี้ว่าเป้าคือลูกน้องของซึงนังไม่ใช่ตน ซึงนังยืนไม่อยู่เลยเกาะไหล่องค์ชายแล้วบอกว่าให้ตนฆ่าเขายังดีเสียกว่า องค์ชายสบโอกาสเลยเขย่าตัวซึงนังพลางร้องถามว่ายอมแพ้แล้วใช่ไหม ซึงนังอั้นไม่ไหวเลยก้มหน้าอาเจียนใส่หน้าอกองค์ชายวังยู องค์ชายวังยูนึกว่าซึงนังพยักหน้ายอมแพ้เลยประกาศก้องว่าตนชนะแล้ว