รีวิวซีรี่ย์ It’s Okay to Not Be Okay

รีวิวซีรี่ย์ It’s Okay to Not Be Okay เป็นซีรีส์ที่โด่งดังมากตั้งแต่มีข่าววางตัวการแสดง เพราะเรื่องนี้จะเป็นซีรีส์คัมแบ็คของนักแสดงฮันรยูสตาร์อย่าง “คิมซูฮยอน“ หลังจากปลดประจำการทหาร หลังจากที่ทำให้แฟน ๆ คิดถึงมานาน ในที่สุดเขาก็ตอบรับว่าจะแสดงนำในซีรีส์เรื่องนี้ โดย It’s Okay to Not Be Okay ซึ่งเป็นซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวของ “มุนคังแท” และ “โกมุนยอง” ที่พัฒนาความรักที่ผิดปกติไปพร้อม ๆ กับการรักษาบาดแผลทางอารมณ์และจิตใจของกันและกัน หลายคนอาจจะคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้คล้ายกับนิทานแฟนตาซีที่มีตัวละครลึกลับและแปลกตา เพราะมีพล็อตที่แปลกใหม่นำเสนอชีวิตของผู้ดูแลในหอผู้ป่วยจิตเวชกับนักเขียนนิทานต่อต้านสังคมและนักวาดภาพประกอบออทิสติกที่มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวด ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นซีรีส์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราต้องการดูเพื่อปลอบโยนจิตใจที่อ่อนแอ ดูหนัง

It's Okay to Not Be Okay ซีรีส์กึ่งนิทานสำหรับผู้ใหญ่  ปลอบโยนทุกหัวใจที่เคยเจ็บปวด

รีวิวซีรี่ย์ It’s Okay to Not Be Okay

เป็นซีรีส์ที่หยิบยกประเด็นสุขภาพจิตมานำเสนอไปพร้อมกับการสอดแทรกวิธีการเยียวยากันและกันของตัวละครในเรื่อง ผ่านนิทานในแต่ละตอนและคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยพลังใจ และข้อคิด ทุกรายละเอียดในเรื่องถูกสรรสร้างออกมาอย่างบรรจงและประณีตได้อย่างไร้ที่ติ ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนพาเราท่องเข้าไปในโลกของนิทานที่ตัวเอกของเรื่องล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีเพียงผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชรื่นรมย์เท่านั้นที่ต้องการการเยียวยา คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอย่างมุนคังแท (รับบทโดย คิมซูฮยอน) ผู้ดูแลในโรงพยาบาลที่ต้องดูแลพี่ชายมุนซังแท (รับบทโดย โอจองเซ) ที่เป็นออทิสติก และ โกมุนยอง (รับบทโดย ซอเยจี) นักเขียนวรรณกรรมเด็กผู้โด่งดังที่เต็มไปด้วยปมในวัยเด็ก ก็ต่างต้องการการเยียวยาด้วยเช่นกัน รีวิวซีรี่ย์

ข้อคิดในนิทานสายดาร์กจากซีรีส์ It's Okay to not be Okay

ในซีรีส์สามารถเล่าประเด็นที่หนักหน่วงนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและนุ่มลึกทำให้เราเห็นว่าปัญหาสุขภาพจิตมันไม่ได้ไกลตัวเรา ‘คนทั่วไปในสังคม’ รวมไปถึง ‘คนใกล้ตัวเรา’ ที่เรามักจะมองข้ามเพียงเพราะเห็นว่าพวกเขาโอเคดีแต่ความเป็นจริงแล้วภายในที่เขาไม่ได้แสดงออกให้เราเห็นอาจจะไม่ได้โอเค และส่งเสียงเรียกร้องให้เราช่วยผ่านท่าทีที่ปกตินั้นก็เป็นได้ ดูหนังออนไลน์

กลิ่นทิม เบอร์ตันลอยมาตั้งแต่ฉากแรกกันเลยละจ้ะสำหรับ It’s Okay to Not Be Okay : เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน ซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่ของ tvN ที่มาลง Netflix เล่าเรื่องราวความรักแบบไม่ปกติธรรมดาของ มุนคังแท (คิมซูฮยอน) เจ้าหน้าที่สุขภาพชุมชนที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวชและพี่ชาย มุนซังแท (โอจองเซ) ที่เป็นออทิสติกและเป็นแฟนคลับตัวยงของนางเอก ใช้ชีวิตเแบบผีตองเหลือง คือย้ายที่อยู่ เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย ๆ และ โกมุนยอง (ซอเยจี) นักเขียนนิทานเด็กสายดาร์ก ชื่อเสียงโด่งดัง มีภาวะต่อต้านสังคมและเป็นโรคชอบหยิบฉวย (Kleptomania)

It's Okay to Not Be Okay นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าโลกไม่เคยจบ Happy Ending  - SARAKADEE LITE

ตัวซีรีส์เคลมว่าเป็นโรแมนติกแฟนตาซี แต่ขอโทษเถอะค่ะความโรแมนติกแฟนตาซี มันถูกผสมกลมกลืนไปกับความดาร์ก ที่เสียดสีในเชิงตลกร้ายและสะกิดต่อมคอมเมดี้กันเบา ๆ เรื่องของเด็กหญิงและเด็กชาย เป็นปกติธรมดาของซีรีส์แต่ละเรื่องที่จำเป็นต้องปูพื้นตัวละครให้คนดูเข้าใจที่มาที่ไปซะก่อน เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่การปูพื้นกลับแตกต่างออกไปจากซีรีส์ที่ใช้คำว่าโรแมนติกนำหน้า ด้วยการนำ stop motion มาใช้ในการเล่าเรื่อง ที่ดึงดูดความสนใจและเผยความดาร์กออกมาได้อย่างสวยงาม ที่ถึงจะไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า สองคนนี้เคยมีอดีตที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนเด็กสาวที่โกรธทุกคนบนโลกใบนี้เพราะมองว่าเธอคือตัวประหลาด โดดเดี่ยวและไร้เพื่อน วันหนึ่งเด็กหญิงช่วยชีวิตเด็กชายโดยไม่ตั้งใจ เด็กชายหน้าตาอ่อนโยนก็เดินตามเด็กหญิงต้อย ๆ จนวันหนึ่งก็พบว่า เธอมันช่างน่ากลัวจริง ๆ เด็กหญิงถามเด็กชายว่า “เธอจะอยู่ข้างฉันไปตลอดใช่ไหม”….”แน่นอน” เด็กชายตอบ เด็กหญิงก็จับผีเสื้อมาฉีกเล่นต่อหน้าต่อตาจ้ะ หนุ่มน้อยแต๋วแตกวิ่งหายลับไปในทุ่งดอกไม้หลากสี แล้วภาพก็ตัดมาที่นางเอกตัวจริงยืนนิ่งอยู่บนปราสาท อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง เฟรมภาพ แสงสีครอบคลุมไปถึงเครื่องแต่งกายสไตล์โกธิคที่ โกมุนยอง สวมใส่ บ่งบอกความเป็นตัวตนของนางเออย่างชัดเจน ดูหนัง 4k 

จากจุดเริ่มต้นภาพก็ตัดมาเล่าในมุมของ มุนคังแท ที่มีชีวิตต่างกันสุดขั้ว วัน ๆ ต้องดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติก ต้องเปลี่ยนงาน ต้องย้ายบ้าน ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนของ มุนคังแท ภายใต้แววตาที่อมทุกข์ จากภาระที่แบกไว้กับอดีตที่ต้องการลืมและหนีหายไปจากมัน ชูความต่างของพระเอกนางเอกที่ชีวิตต้องมาบรรจบพบเจอกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

อารมณ์ของเรื่องคล้าย ๆ กับคนเป็นไบโพลาร์อยู่เหมือนกันนะคะ เป็นซีรีส์ที่เปลี่ยนอารมณ์ฉับไวเหมือนใจมนุษย์ สุขอยู่ดี ๆ ขำกันอยู่หลัด ๆ ก็เข้าโหมดเศร้าแล้วโผล่ไปโหมดจิตได้หน้าตาเฉย เปลี่ยนกันปุบปับแต่ก็กลับทำออกมาได้สมูทเอาซะอย่างนั้นและที่สำคัญ ซาวด์ประกอบสามารถชี้นำอารมณ์ในจุดนั้นให้คล้อยตามและล้อไปกับเนื้อเรื่องได้แบบเนียน ๆ มีการเล่นกับความต่างด้วยการใส่กรอบฟุ้งสีชมพูเวลาแฟลชแบ็กทั้ง ๆ ที่เรื่องที่นึกถึงมันไม่ได้ชมพูไปด้วยเลย มีการใช้ stop motion มาผสมผสานในบางช่วง หรือแม้กระทั่งสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ภายในใจ โดยให้นางเอกมีร่างใหญ่ยักษ์แบบปีศาจแปลงร่างในคาเมนไรเดอร์ มีการวางเฟรมและมุมกล้องซ้ำ ๆ อย่างตั้งใจเหมือนต้องการจะสื่อว่า “อย่าหลีกหนีการเผชิญหน้า เพราะไม่ว่าเราต้องการจะหนีสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางที่จะหนีมันได้พ้น”

รีวิวซีรีส์ It's Okay to Not Be Okay | มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมีที่ไหนกัน

มั่นใจเลยว่าทีมสร้างซีรีส์เรื่องนี้ต้องเป็นสาวก ทิม เบอร์ตัน อย่างแน่นอน ก็ถ้าจะกลิ่นชัดซะขนาดนี้จะมีไอดอลเป็นใครไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพบรรยากาศ โลเคชันที่เป็นบ้านของนางเอก ชุดที่สวมใส่หรือบุคลิกท่าทางที่แสดงออก ซีรีส์แทนภาพที่ไม่น่าดูชวนขยะแขยงด้วยภาพอื่น ๆ เป็นสื่อสัญลักษณ์ให้เราเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า และสร้างอารมณ์ใหม่สอดเข้ามาคืออารมณ์ขันที่ทำให้เราเผลอหัวเราะในหลาย ๆ ฉาก ก็เรียกได้ว่าไม่ทิ้งสายเลือดละครเกาหลี ที่ถึงแม้จะชูความดาร์ก ชูโรแมนติกหรือดราม่า แต่อารมณ์ขันก็ต้องมาเสิร์ฟอยู่ตลอดไม่มีขาด

ผสมกับงานกราฟิติลายเส้นสายดาร์กจากภาพประกอบหนังสือของ  โกมุนยอง แล้วตบท้ายด้วยการเล่าว่า มีเด็กคนหนึ่งถูกลบฝันร้ายออกไปจากความทรงจำด้วยน้ำมือของแม่มด  แต่เขากลับไม่มีความสุข เพราะการลบความทรงจำไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เราควรจะจดจำบาดแผลในอดีตเอาไว้ ต่อสู้และเผชิญหน้ากับมันเพื่อเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง การเล่าเรื่องลักษณะนี้สารภาพเลยว่า ชอบมาก ๆ เป็นการส่วนตัว ถือเป็นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาผ่านการเล่าเรื่องจากภาพ และไม่ยากเลยในการทำความเข้าใจ ซึ่งซีรีส์ก็ทำออกมาได้ดีจนดูแล้วยิ้ม ซึ่งทำให้เห็นชัดเลยว่าผู้เขียนบทและทีมสร้างทำการบ้านมาดีขนาดไหน

นางเอกเรื่องนี้นางเป็นคนขี้ตื๊อค่ะ แต่ก็แอบป่วยจากภาวะต่อต้านสังคม เป็นลูกอีช่างหยิบที่เห็นอะไรที่คิดว่างามเป็นไม่ได้ต้องหยิบติดไม้ติดมือกลับบ้าน โดยเฉพาะของมีคม จนมาพบพระเอกและเอ่ยปากพูดออกมาหน้าตาเฉยว่า “งดงาม ช่างเป็นอะไรที่งดงามจริง ๆ …อยากได้” เป็นคนตรงและคนจริงแห่งปี 2020 เป็นชะนีสายรุกที่โมโหร้าย แอบจิตและเอาแต่ใจอย่างคนหัวแข็ง แต่ก็เข้าใจโลกได้ในแบบของเธอเอง ถึงแม้ความคิดจะดูบิด ๆ เพี้ยน ๆ ก็เถอะ แต่ก็ทำให้พระเอกเผลอคล้อยตามในที่สุด เรื่องนี้ ซอเยจี สวยมาก สีหน้าที่แสดงออกในแต่ละซีนตีบทแตก จิตจริง สวยจริงไม่มีสแตนด์อิน

ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องแกล้งเข้มเเข็งก็ได้ ซีรีย์เกาหลีน่าดู Its Okay to Not Be  Okay - Mixmaya.Com

คิมซูฮยอน ในบท มุนซังแท กับบทที่ต้องแบกรับภาระในการดูแลพี่ชาย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่อมทุกข์ที่ต้องฝืนยิ้มเพื่อความสุขของคนที่ตัวเองรัก จนเพื่อนเอ่ยปากออกมาว่า “รอยยิ้มของนายมันเหมือนโจ๊กเกอร์เลยว่ะ” คิมซูฮยอน ทำได้ดีในบทนี้เลยนะ แถมไอ้คำว่า งดงาม ที่นางเอกพูดออกมาก็ไม่เกินจริง ซีนเข้าพระเข้านางถึงจะดูไม่ปกติธรรมดาอย่างซีนพระนางทั่วไป แต่ก็ทำให้เราเผลอจิ้นและมีความสุขได้เมื่อสองคนนี้ได้อยู่ด้วยกัน มีซึ้งทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะซึ้ง สองคนสามารถสร้างความรู้สึกร่วมให้คนดูรู้สึกได้ว่า ต่างคนก็ต่างเกิดมาเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของกันและกัน คนหนึ่งเป็นผู้ปลดปล่อย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ปลอบประโลม การกระจายบทของเรื่องนี้

ถึงแม้ว่าจะชูพระนางเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวละครอื่น ๆ ก็มีบทบาทรับ-ส่งและเป็นสีสันในการดำเนินเรื่อง เรียกได้ว่ามีซีนให้ติดตาม มีปมให้เฉลยเป็นตลกร้ายที่มีอยู่จริงในสังคม ดูหนังออนไลน์ 4k แต่ตัวละครสำคัญอีกตัวที่น่าจะมีส่วนในการคลี่คลายปมที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ก็คือ มุนซังแท (โอจองเซ) พี่ชายออทิสติกที่มีปัญหากับผีเสื้อสีน้ำเงินและชอบไดโนเสาร์ เป็นตัวละครที่มีความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ๆ ต้องตามดูกันไปค่ะ เนื้อเรื่องชงเข้ม ๆ มาตั้งแต่ ep แรกกันเลย

เปิดมาก็โชว์ปมกุมความลับ เป็นซีรีส์ที่แฝงจิตวิทยาไว้แบบโดดเด่น น่าติดตาม สนุกสนาน ตอนนี้ก็ผ่านมา 3ep แล้วด้วยค่ะ คืนนี้จะเป็น ep4 ยังไม่มีปมไหนคลายออกมาจริง ๆ สักปมเลยแหละ เดาทางไม่ได้เลยว่าจะพาเราเดินไปทางไหน

สิ่งที่โดดเด่นคือนักแสดงเรื่องนี้มีพรสวรรค์เกินตัว ตัวละครแต่ละตัวมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง แน่นอนมันเป็นงานที่ยากที่จะดึงคาแรคเตอร์มันออกมาและพวกเขาทุกคนก็ทำได้ดีมาก แต่นอกเหนือจากความสวยงามและการแสดงที่น่ายกย่องแล้ว เรื่องราวและข้อความที่ซีรีส์ถ่ายทอดออกมานั้นเป็นเรื่องที่มีความงามอยู่อย่างแท้จริง ทางเรื่องจัดการกับหัวข้อที่ยากและละเอียดอ่อน เช่น ความเจ็บป่วยทางจิต บุคลิกภาพและความผิดปกติของพัฒนาการ สุดท้ายแล้วทางเรื่องก็ได้แสดงให้เห็นว่าทุกคนได้รับการเยียวยาจากความเจ็บปวดและเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงด้วยภาพเพื่ออธิบายคำศัพท์ทางการแพทย์ที่กล่าวถึงในฉากและนี่เป็นองค์ประกอบที่เราคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น ซีรีส์ที่ตัวเรื่องใช้นิทานทั่วโลกเป็นตัวเดินเรื่องทุกตอนตั้งแต่ต้นจนจบ โดยสะท้อนปมปัญหาทางจิตวิทยาของทุกตัวละครผ่านทางนิทาน

เนื้อเรื่องมีความดาร์ค โรแมนติก เศร้าปนเหงา ตลก อบอุ่นครบทุกอารมณ์ในทุกตอน และดำเนินเรื่องไปแบบคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยไม่ได้เน้นเรื่องราวหักมุม มีงานภาพที่ถูกครีเอทออกมาสะท้อนเรื่องราวได้สวยงามน่าทึ่งตลอดเวลา ดารานักแสดงลงตัวเหมาะสมกับบทได้อย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะบทพี่ชายออทิสติกส์ของพระเอกที่เล่นได้อย่างโดดเด่นเป็นหัวใจที่สำคัญสุดของเรื่องนี้ ทั้งขึ้นต้นด้วยเรื่องราวของเขา และก็จบด้วยเรื่องราวของเขาเช่นกัน แม้จะมีจุดบอดเล็กๆ กับปมในอดีตที่เฉลยออกมาแบบขาดคำอธิบายให้เคลียร์ แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่ไคลแม็กซ์ของเรื่อง นี่จึงเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีเรื่องราวแปลกใหม่และบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างปราณีตสวยงามตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ ครับ