รีวิวซีรี่ย์ MINDHUNTER
ว่าด้วยเรื่องของเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI โฮเด็น ฟอร์ด ร่วมกับคู่หูของเขา จัดตั้งหน่วยพิเศษหนึ่งขึ้นมาเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับความคิด จิตใจและพฤติกรรมของ ดูหนังออนไลน์ ฆาตกรต่อเนื่องหรือฆาตกรที่ก่อคดีโหดๆ โดยนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการตามสืบคดีและตามจับฆาตกร ในยุค 70s ซีรีย์ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ Mindhunter: Inside the FBI’s Elite Serial Crime Unit มีเนื้อหาเกี่ยวกับหน่วยเอฟบีไอพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อวิเคราะห์จิตใจและตามจับฆาตรกรต่อเนื่อง ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
หลายคนคงเคยได้ยินคำโคลงโลกนิติที่สอนใจเราเรื่องจิตใจของมนุษย์ รีวิวซีรี่ย์ MINDHUNTER
ที่แม้มหาสมุทรจะลึกแค่ไหนก็ยังหยั่งถึงได้ ไม่มีอะไรที่ลึกล้ำและน่ากลัวเท่าจิตมนุษย์เราอีกแล้ว ทั้งบทพูดที่ได้กลิ่นอายของ David Fincher โดยเฉพาะฉากที่โฮเด็นไปสัมภาษณ์ฆาตกรแต่ละคน ทั้งฉากหลังในยุค 70s หรือเจาะจงก็ 1977 ที่สมจริงและมีเสน่ห์มากๆ การแสดงนี้ไม่ต้องพูดถึงดีงามที่สุดทั้งตัวละครหลักและฆาตกร ฆาตกรที่ปรากฏในซีรีย์นั้นมีตัวตัวอยู่จริงๆ และนักแสดงที่แสดงในบทฆาตกรแต่ละคน แสดงได้เหมือนมากๆ และเนื้อหา ดูหนังฟรี
ใจจริงผมอยากให้มีเนื้อหาแบบนี้นานแล้วนะเพราะส่วนตัวเคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องมาก่อน เลยรู้สึกอินกับเนื้อหาเรื่องนี้มากๆ และหนังหรือซีรีย์สืบสวนส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่การตามจับตัวฆาตกรหรือเน้นไปที่ฝ่ายฆาตกรตามล่าเหยื่อ เป็นต้น แต่เรื่องนี้ประเด็นอยู่ที่ว่า “ทำไม” ฆาตกรถึงทำแบบนี้ เราจะได้เห็นในมุมมองของฆาตกรความคิดของเขา พฤติกรรม ต่างๆ ที่ส่งผลต่อการฆาตกรรม ซึ่งซีรีย์นำเสนอออกมาได้สมจริงและน่าติดตามมากๆ ผมดีใจนะที่ได้ทำเป็นซีรีย์ เพราะมันเหมาะสมที่จะเล่าอะไรแบบนี้จริงๆ
จิตใจของฆาตกรหรืออาชญากรเป็นอีกโลกหนึ่งที่หนังและซีรีส์ฮอลลีวูดชอบเข้าไปสำรวจ
นัยหนึ่งเพราะเป็นโลกที่รังสรรค์ตัวละครคาแรกเตอร์โรคจิตสุดหลอน (ลองนึกถึงโจ๊กเกอร์หรือทูเฟซ มนุษย์สองหน้า ตัวละครจากคอมิก Batman) จากเหตุการณ์จริงที่ทำให้เรื่องราว-ตัวละครสมจริง ทั้งที่เกิดจากกจิตที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดเหตุฆาจกรรมของคนเหล่านี้ต่อเหยื่อมากมาย และอีกนัยหนึ่งก็เป็นโลกที่ผู้ชมทั่วไปสงสัยใคร่รู้ว่า เหตุใดอาชญากรเหล่านั้นถึงได้ก่อคดีหฤโหดขึ้นมาได้ ที่มาที่ไปของพวกเขาก่อนจะมาเป็นอาชญากรนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
ทีมงานทั้งหมดที่เป็นระดับตัวท็อปของวงการร่วมกันผลิตซีรีส์ที่บอกเล่า เรื่องราวของหน่วย BAU (Behavioral Analysis Unit) หน่วยงานที่ถือกำเนิดคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” (Serial Killer) ขึ้นจริงในแวดวงสืบสวนสอบสวนของโลกใบนี้ หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรใน FBI (มีบทบาทโดยตรงในซีรีส์ Criminal Minds (2005-ปัจจุบัน) ของช่อง CBS, ซีรีส์ Hannibal (2013-2015) และหนัง Silence of the Lambs (1992))
เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นการเล่าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นการบุกเบิกหน่วยงานในยุค 70 เจ้าหน้าที่ Holden Ford (Jonathan Groff) อาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรงที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมของอาชญากรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย (ในขณะที่ FBI เวลานั้น มักจะให้ความสำคัญกับการไล่ล่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไปแล้ว มากกว่าป้องกันไม่ให้เกิด) ต้องมาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่่รุ่นเก๋า Bill Tench (Holt McCallany) ที่พอจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อยู่บ้าง และอาศัยโอกาสที่เขาต้องไปสอนหนังสือให้เจ้าหน้าที่ FBI ใตามสถานีตำรวจทั่วสหรัฐฯ ฟัง Bill จึงหนีบ Holden ไปเพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้ด้วย ส่วนในช่วงครึ่งหลัง ซีซันแรก ทีมก็ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยใน Boston Dr.Wendy Carr (Anna Tov) มาร่วมทีมด้วย
ตัวซีรีส์จะเป็นเรื่องราวในยุคประมาณ 70’s
เมื่อเจ้าหน้าที่ FBI โฮลเดน ฟอร์ด และ บิล เทนซ์ ได้ร่วมกันจัดตั้งแผนกใหม่ของ FBI ที่ชื่อว่า หน่วยพฤติกรรมศาตร์ หน้าที่ของพวกเขาคือ เดินทางสัมภาษณ์เหล่านักโทษฆาตกรโรคจิตทั่วสหรัฐฯ ที่ถูกขังอยู่ในคุก
เพื่อเก็บข้อมูล เข้าถึงจิตใจและวิธีคิดเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในด้านอื่นๆ ไขคดีที่เกิดขึ้น โดยทั้งสองตัวละครนี้ อ้างอิงมาจากนักสืบจริงๆในยุค 1960s เพราะตอนนั้นทางสหรัฐฯ ได้ใช้หลักจิตวิทยาในการไขคดีอาชญากรรม โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมที่อุกฉกรรจ์ โหดร้ายผิดมนุษย์ ทางเจ้าหน้าที่ต้องปรับตัว เรียนรู้ที่จะใช้สมองเพื่อวิเคราะห์บุคลิก ดักทางฆาตกร เพื่อให้เข้าใจว่าในหัวของปีศาจในร่างมนุษย์พวกนี้มีกลไก ความคิด หรือสัญชาติญาณแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร
ในซีซันแรกนั้น ซีรีส์นำเสนอเรื่องราวของ “ฆาตกรต่อเนื่อง” มากมาย ซึ่งเป็นตัวเอ้ของชาวอเมริกันที่ได้ติดตามบนหน้าหนังสือพิมพ์ในยุค 1960s-1970s เช่น “Co-ed Killer” Edmund Kemper (Cameron Britton) ผู้สังหารเหยื่อกว่า 10 รายรวมถึงย่าและแม่ของตัวเองก่อนจะมีเพศสัมพันธ์กับศพที่เขาฆ่า “The Lust Killer” Jerry Brudos (Happy Anderson) ฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกเลี้ยงดูมาจากแม่ที่อยากได้ลูกผู้หญิงและบ้ารองเท้าผู้หญิงเป็นชีวิตจิตใจ
เป็นซีรีส์ที่เรียกได้ว่า ดำเนินเรื่องแบบ นิ่งๆ รีวิวซีรี่ย์ MINDHUNTER
แต่แฝงไปด้วยความกดดันที่มันเรียลมากๆ มันเป็นซีรีส์ในแบบที่ พูดกันทั้งเรื่อง ตัวละครพูดจาฉลาดแต่ไม่น่าเบื่อเลย ไม่เหมือนกับการที่เราต้องนั่งฟังเลคเชอร์ในคาบเรียน โดยเฉพาะในการสัมภาษณ์เหล่าฆาตกร ในซีรีส์ไม่ได้มีภาพชวนแหวะ ฉากฆ่า หรือฉากไล่ล่าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความกดดันมันมาจากบทสนทนาที่ออกจากปากของฆาตกร ค่อยๆเล่าถึงรายละเอียดต่างๆที่ตัวฆาตกรทำกับเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม ทารุณ ฟังแล้วขนลุกและน่ากลัวจนเห็นภาพ ทำให้บทสนทนาระหว่าง FBI และฆาตกรในเรื่องนี้มันหนักหน่วง กดดัน และถือว่าเป็นจุดแข็งของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
อีก 1 จุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้คือ แคสติง นักแสดงที่รับบทเป็นฆาตกรตัวจริง แสดงได้ดีมากๆ อย่างซีซั่นแรกก็คือ เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ (Co-Ed Killer) ฆาตกรร่างใหญ่ ที่ฆ่าตา-ยายตัวเอง ตัดหัวแม่ตัวเอง แสดงได้ดีและเหมือนฆาตกรตัวจริงสุดๆ ลองไปชมกันว่า เหมือนขนาดไหน
ซีรีส์นำเสนอชีวิตของ Ford ออกมาในแง่มุมของการดำเนินชีวิตอย่างมั่นใจทั้งในการทำงาน
(ที่ต้องเผชิญกับการสัมภาษณ์ฆาตกรตัวเอ้มากมาย ซึ่งก็ทำให้เขาเกิดภาวะทางจิตตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว) และกับความรัก ซึ่งก็ทำให้เขาหุนหันพลันแล่น ทะเยอทะยานและมั่นใจในตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ จนเลือกจะใช้วิธีที่เลวร้ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน Bill และ Dr.Vendy ไม่เห็นด้วย จนเกือบส่งผลให้หน่วยงาน BAU ต้องจบลง
คนดูจะสัมผัสได้ถึงจังหวะการเล่าเรื่องไปจนถึงโทนสีที่หนังเลือกใช้ ซึ่งเป็นสไตล์ที่มีลายเซ็นที่โดดเด่นมากของ David Fincher ใกล้เคียงที่สุดที่หนัง Zodiac (2007) ที่บทสรุปของเรื่องก็เลือกจะเล่าตามความเป็นจริง ในกรณีที่ฆาตกรยังลอยนวลและทางการไม่อาจทำอะไรได้
ส่วนซีซันสอง เริ่มต้นด้วยการให้หน่วย BAU เข้าไปเกี่ยวข้องกับ BTK (Bind, Torture and Kill) Killer ที่ทิ้งเชื้อไว้ตั้งแต่ปีแรก (ด้วยการหยอดเรื่องราวที่มาและพฤติกรรมประหลาดของ BTK Killer หรือ Dennis Rader ซึ่งเมื่อมาถึงเหตุการณ์ตามท้องเรื่องในปี 1979-1980 นั้น เขาก็ได้สังหารไปแล้วถึง 7 ศพ (จากทั้งหมด 9 ศพจนถึงปี 1991 และถ้าไม่ถือเป็นการสปอยล์ซีซันหน้า ๆ เพราะ search เอาได้จาก Google อยู่แล้ว ฆาตกรรายนี้กว่าจะถูกจับก็ปี 2005 ถือเป็นการลอยนวลที่ยาวนานกว่า 4 ศตวรรษ ซึ่งก็น่าสนใจว่าซีรี่จะนำเสนอออกมายังไงให้เวลาตามท้องเรื่องกินระยะเวลายาวนานขนาดนั้น)