รีวิวซีรี่ย์ Move to Heaven
รีวิวซีรี่ย์ Move to Heaven
“รักในวันที่ยังมีโอกาสจะได้รัก ขอโทษในวันที่ยังมีโอกาสขอโทษ และอย่าลืมให้อภัยในวันที่ยังมีโอกาสให้อภัย”
หากคุณอยากทราบว่าเราได้ข้อคิดนี้มาจากไหนเราขอแนะนำให้คุณดูซีรีส์เรื่อง “Move to Heaven” ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์น้ำดีที่จะทำให้คุณรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตและเห็นคุณค่าของโอกาส ซีรีส์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากอาชีพที่มีอยู่จริงในประเทศเกาหลี อาชีพนี้ก็คืออาชีพเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุของผู้ตาย เนื่องจากในประเทศเกาหลีใต้อัตราการอยู่คนเดียวของประชาชนกำลังเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการตายคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว (Godoksa) จึงกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเช่นกัน อาชีพเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุของผู้ตายจึงเป็นอาชีพที่สำคัญมากอาชีพหนึ่ง ดูหนัง
ซีรีส์ออริจินัลของ Netflix เล่าเรื่องราวของ ‘ฮันกือรู’ (ทังจุนซัง) หนุ่มน้อยอายุ 20 ปี ที่มีอาการ ‘แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม’ (Asperger syndrome) ซึ่งเป็นอาการของผู้ที่มีความบกพร่องทางการแสดงออกและเข้าใจความรู้สึก อยู่ในกลุ่มสเปกตรัมเดียวกันกับ ‘ออทิสติก’ (Autism Spectrum Disorder) ก็นึกภาพไปถึง ‘มุนซังแท’ ใน ‘It’s Okay to Not Be Okay’ ได้เลยค่ะคล้าย ๆ กัน แต่เรื่องนี้ ฮันกือรู นิ่งและมีสติมีเหตุผลกว่า มุนซังแท มากนัก เพราะเป็นกลุ่มอาการที่ต่างกัน และปมชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลักษณะอาการของAsperger syndrome ดูหนังออนไลน์
นำแสดงโดย อีเจฮุน ที่เพิ่งมีผลงานอย่าง Time to Hunt และ Taxi Driver ซึ่งกับ Move to Heaven ถือเป็นการพลิกบทบาทจากแอ็กชันเดือดๆ กลับมาสู่งานดราม่าสะท้อนชีวิตและสังคม ส่วนนักแสดงที่น่าสนใจอีกคนคือ ทังจุนซัง ที่หลายคนน่าจะจำกันได้จากบททหารน้องเล็กของแก๊งสหายผู้กองในซีรีส์ Crash Landing on You ดูหนัง 4k
การทำหน้าที่เก็บข้าวของผู้ที่เสียชีวิตลงในกล่องสีเหลืองของ Move to Heaven มองอีกมุมหนึ่งได้ว่าความตายในโลกทุกวันนี้แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ซีรีส์ยังสะท้อนให้เห็นรูปแบบการใช้ชีวิตของสังคมเมืองที่มีความโดดเดี่ยว ทั้งยังถูกกดทับด้วยการทำงานและภาระทางสังคมต่างๆ จนทำให้การจากไปของใครคนหนึ่งกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ และสิ่งของที่พวกเขาทิ้งไว้กลับกลายเป็นของที่ไม่มีใครต้องการ ดูหนังออนไลน์ 4k
ซีรีส์นำเสนออาชีพที่แปลก แต่มีจริง และก็มีความสำคัญพอๆ กับอาชีพในสายงานเดียวกันอย่างกู้ภัย ซึ่งตัวเรื่องในตอนแรกเป็นการบอกเล่าถึงรายละเอียดขั้นตอนการทำงานของบริษัท Move to Heaven (เคลื่อนย้ายสู่สวรรค์) ที่พ่อของพระเอกตั้งขึ้นมา ซึ่งเราจะได้เห็นรายละเอียดจริงๆ ของขั้นตอนการเก็บกวาดสิ่งต่างๆ แม้ไม่มีศพเละๆ อะไรให้เห็น รีวิวซีรี่ย์
แต่คนปกติก็ไม่อยากหรือไม่กล้าจะเข้ามาทำ การเก็บกวาดมีทั้งเลือด นำ้หนอง ขยะ กำจัดสิ่งสกปรกทุกอย่างในห้องให้กลับมาปกติ รวมถึงกลิ่นก็ต้องไม่ให้เหลือ ซึ่งอาชีพนี้จะมาทำงานหลังจากตำรวจเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว หรืองานหลายครั้งก็เป็นห้องของผู้ตายที่อื่นไม่ใช่ที่เกิดเหตุ แต่คนในบ้านไม่ต้องการเก็บเอง ซึ่งนั่นคืองานทั้งหมดของอาชีพนี้
ฮันกือรู ทำงานให้กับธุรกิจของพ่อคือบริษัท ‘Move to Heaven’ เป็นบริษัทที่รับจ้างเก็บกวาดสถานที่ของผู้เสียชีวิต บริษัทอื่น ๆ ที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน อาจแค่เก็บ ทำความสะอาด และทิ้งข้าวของเหล่านั้นไป แต่ ‘Move to Heaven’ แตกต่างออกไป พวกเขาไม่เพียงทำความสะอาดสถานที่ แต่พวกเขายังเก็บความทรงจำที่ผู้เสียชีวิตทิ้งเอาไว้ใส่ในกล่องแห่งความทรงจำ เพื่อส่งต่อไปให้ญาติหรือใครสักคนที่สมควรได้รับมัน
จะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือภาพสะท้อนของความโดดเดี่ยว ก็ใช่ หรือจะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือตัวแทนความอบอุ่นที่หาได้เพียงแค่เปิดใจมอง ก็ใช่อีก คนเขียนบทนี่ยังไงนะ ถึงสามารถสานต่อเรื่องราวออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ และควบรวมสองอารมณ์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน กือรู ยืนอยู่บนฐานะของเด็กพิเศษ ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น แต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบ ได้เห็นและได้ยินอย่างแม่นยำและไม่ลืมเลือน ประหนึ่งเครื่องบันทึกความทรงจำกันเลย
ต่สิ่งที่ซีรีส์ใส่เพิ่มเข้ามาคือ เรื่องราวการค้นหาส่งต่อของสำคัญของผู้ตายไปยังจุดหมายปลายทางที่ค้างคาไว้ ซึ่งฮันกือรูเป็นแอสเพอร์เกอร์ที่หมกหมุ่นกับการค้นหาคาดเดาเรื่องราวที่ผู้ตายคัางคาไว้ สำหรับตัวเขาเหมือนเป็นการต่อจิ๊กซอว์ปริศนา ซึ่งอาการของคนเป็นโรคนี้เมื่อตั้งใจทำอะไรจะต้องทำให้สำเร็จจนเกินคนปกติ ซึ่งซีรีส์เองหยิบเอาความพิเศษตรงนี้มาสอดรับเข้ากับเรื่องราว และทำให้ตัวเอกเป็นเหมือนอัจฉริยะด้านการปะติดปะต่อสิ่งของที่เหลืออยู่ให้เป็นเรื่องราวบอกเล่ากลับมาได้
ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นการช่วยงานสืบสวนตามจับคนร้ายไปในตัวด้วย แต่จุดนี้ไม่ใช่เรื่องราวหลักของซีรีส์ เรื่องนี้เน้นหนักไปที่ดราม่าการคลี่คลายปมที่เหลืออยู่ของผู้ตายเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นแบบจบในตอน แต่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันยาวๆ เหมือนหนังขนาดยาวเกือบ 10 ชั่วโมงจบมากกว่า (มี 10 ตอน) ส่วนใหญ่แต่ละเคสจะใช้เวลาเกือบสองตอนถึงจบคลี่คลายหมด
ซีรีส์เล่นกับประเด็นสังคมที่บอกว่า เราต่างถูกทอดทิ้งและเราเองยังเป็นหนึ่งในคนที่ทอดทิ้งใครบางคนให้อยู่ข้างหลังเสียเอง ความคาดไม่ถึงของเรามีส่วนทำให้สังคมนี้ โดยเฉพาะสังคมเมืองที่มีการแข่งขันกลายเป็นสังคมสมัยใหม่ที่แห้งแล้ง โดดเดี่ยว การจากไปของเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ความรู้สึกของคนข้าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจมากเพียงพอสำหรับเรา เราต่างละเลยมัน
ต้องขอชื่นชมคนเขียนบท ที่เขียนบทออกมาได้ดีมาก ดูแล้วรู้สึกประทับใจ และต้องเตือนให้เตรียมทิชชู่ไว้ให้พร้อม เพราะบางตอนซึ้งมากรู้ตัวอีกทีแก้มเปียกแล้ว ไม่ใช่น้ำลายนะ น้ำตาต่างหาก ซึ้งมากซึ้งจนน้ำตามันไหลออกมาเอง เป็นซีรีส์ดราม่าเนิบ ๆ ไม่เครียดไม่น่าเบื่อ แต่น่าติดตาม ชอบ EP 5 ตอนเรื่องความรักต้องห้ามระหว่างชายหนุ่มสองคนที่ทำออกมาได้สวยงามดูละมุน
ตามสัญญาที่ระบุไว้โจซังกูต้องทดลองเป็นผู้ปกครองของฮันกือรูเป็นเวลา 3 เดือน ถ้าเขาไม่ก่อปัญหาที่อาจเป็นอันตรายต่อฮันกือรูสิทธิของผู้ปกครองก็จะตกอยู่ในมือของเขาแบบเต็มตัว แม้ว่าในตอนแรกเขาจะปฏิเสธเพราะเขาเกลียดฮันจองอู แต่ในที่สุดโจซังกูก็ยอมรับเจตจำนงของพี่ชายหลังจากที่รู้ว่าเขาสามารถควบคุมทรัพย์สินที่เหลืออยู่ของพี่ชายตัวเองได้
ฮันกือรูและโจซังกูมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มแรกพวกเขาเข้ากันไม่ได้และมักจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาสนิทกันมากขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ Move to Heaven ด้วยกัน นอกจากนี้โจซังกูก็เริ่มเข้าใจความคิดเห็นของฮันกือรูและมักจะช่วยหลานชายของเขาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอ
ซีรีส์เล่นกับปมสังคมที่เพื่อนมนุษย์ต่างถูกหลงลืม ผสมไปกับอารมณ์ของการสืบสวน ไขคดี แต่เสิร์ฟออกมาในรูปแบบของการ ‘ไขข้อความ’ หรือ ‘สาส์น’ ที่ผู้ตายทิ้งเอาไว้ผ่านข้าวของที่หลงเหลืออยู่ เพื่อรอคอยคนพิเศษสักคนมาส่งต่อสาส์นสุดท้ายที่ไม่ทันได้เอ่ย หรือเปิดเผยให้ใครบางคนได้รับรู้ เป็นการปลดเปลื้องเรื่องที่ติดค้างในใจของคนคนหนึ่ง ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ การคลี่ปมต่าง ๆ ในเรื่องจะส่งผ่านรูปแบบความสัมพันธ์ที่แตกต่าง ของแต่ละชีวิตที่เป็นเมนของแต่ละตอน ไปพร้อม ๆ กับความสัมพันธ์อา-หลาน ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ขาดกันไม่ได้ในที่สุด
จะมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจนเกือบจะจบเรื่องก็คือ ทำไมพ่อของกือรูจึงไว้ใจให้น้องชายของตัวเองที่เลือดร้อน มาดูแลลูกชายคนเดียวที่มีอาการของเด็กพิเศษ อะไรคือสาเหตุของการตัดสินใจนี้ ซึ่งซีรีส์จะทำให้เราค่อย ๆ เข้าใจไปทีละขั้น ทีละตอนจนซาบซึ้งไปกับความรักของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูกชาย และน้องชายของตัวเอง ทำให้พ่อที่เสียชีวิตตั้งแต่ Ep แรก ไม่เคยตายไปจากหัวใจของกือรูและคนดูอย่างเราไปได้เลย
บทฮันกือรูกับอาการแอสเพอร์เกอร์คือส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องราวนี้ ทั้งในแง่ความสมจริงของบุคลิกท่าทาง ความสามารถพิเศษที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง อีกทั้งยังต้องมีบทดราม่าเรียกความสงสารตามมาด้วย (แต่ที่จริงตัวละครนี้แค่พิการบกพร่องทางสมองในแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตหลักตามปกติมากนัก) นักแสดงที่รับบทนี้จึงถูกจับตามองและถูกคาดหวังมากที่สุด ซึ่งก็เป็นดาราเด็กวัย 18 Tang Joon-Sang ที่เคยเล่น Crash Landing on You มาก่อน
ต้องถูกคัดเคี่ยวมาอย่างหนัก ต้องบอกว่าผู้เขียนให้ผ่านในภาพรวมของการแสดง แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นดีงามอะไรมากนัก อาจจะเพราะเคยดูซีรีส์แนวนี้อย่าง Atypical ที่นักแสดงรับบทได้เหมือนจริงกว่านี้มาก (ถือเป็นซีรีส์ที่ตัวเอกเป็นออทิสติกส์ที่ดังที่สุดเลยก็ได้ของเน็ตฟลิกซ์ แต่ในไทยอาจจะไม่ได้รู้จักมาก แต่ถ้าใครชอบแนวนี้แนะนำเลยว่าห้ามพลาด
ก่อนดูอาจจะคิดว่าเรื่องราวคงเป็นตอนๆ กับงานเก็บกวาด และต้องเน้นดราม่าในแต่ละเคสหนักๆ ซึ่งโดยรวมก็ยังเป็นแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าเรื่องราวของอาพระเอก “โจซังกู” ที่ออกมาจากคุก โดยเกลียดแค้นพี่ชายตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ และยังไม่สนใจไยดีหลาน มาอยู่ด้วยเพียงแค่ต้องการมรดกที่พี่ชายทิ้งไว้ให้ฮันกือรูเท่านั้น ส่วนนี้กลับเป็นส่วนที่ค่อยๆ ขยายลงลึกเรื่องราวลงไปหลายส่วนใหญ่โต ทั้งปมในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวนิสัยแย่ๆ ของโจซังกูในตอนแรกก็ค่อยๆ มีพัฒนาการเป็นผู้เป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ แถมด้วยความน่ารักอย่างคาดไม่ถึงจากการเป็น
คนดีที่น่าสับสนซึ่งฮันกือรูให้ความเห็นถึงอาของตัวเองไว้ อีกทั้งตัวละครโจซังกูคือนักมวยเก่าที่มีชีวิตในอดีตกับมวยเถื่อนใต้ดิน เป็นส่วนอาชญากรรมของเรื่องราวที่แม้ไม่เยอะ แต่เข้มข้นมากๆ เรียกว่าเป็นอีกด้านของซีรีส์ที่ดุเดือด รุนแรง ดาร์ค และยังพ่วงด้วยดาราสมทบ อีแจอุค (LEE JAE WOOK) พระเอกหน้าใหม่จากซีรีส์ Do Do Sol Sol La La Sol Extraordinary You, ซึ่งเชื่อเลยว่าคนที่เคยดูผลงานของเขาต้องทึ่งกับการแสดงที่สมบาทและมีเสน่ห์สุดๆ และในเรื่องนี้แม้เป็นบทสมทบที่กว่าจะออกมาก็ตอน 6 ไปแล้ว