รีวิวซีรี่ย์ Navillera (2021)
ซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่บน Netflix มาจากเว็บตูนในชื่อเดียวกัน ที่มีความแปลกแตกต่างจากแนวดราม่าปกติทั่วไป ด้วยการเล่นเรื่องราวของช่วงเวลาชีวิตคนสูงวัยที่เกษียนแล้ว มีครอบครัวลูกหลานสมบูรณ์ ชีวิตแทบจะไม่มีห่วงอะไรอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกขาดแรงจูงใจในชีวิต จนในที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามฝันในอดีต ดูหนังออนไลน์ ซึ่งพล็อตเรื่องแบบนี้ก็มาจากชีวิตจริงของผู้สูงวัยหลายคนที่รู้สึกขาดอะไรไปในชีวิตหลังเกษียนเช่นกัน ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เมื่อพูดถึงการตามหาความฝันของชีวิต รีวิวซีรี่ย์ Navillera (2021)
ในความคิดของคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงวัยหนุ่มสาว-วัยทำงานที่ยังมีไฟยังมีแรงในการจะทำอะไรสักอย่างอย่างเต็มเปี่ยม แต่ในซีรีส์ที่ให้กำลังใจผู้ชมได้ดีอย่างเรื่องนี้ กลับชูเรื่องราวการมุ่งมั่นทำตามความฝันของคุณตาคนหนึ่ง ที่ด้วยภาระหน้าที่ซึ่งต้องเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่วัยหนุ่มจึงทำให้สมัยนั้นมัวแต่ทำมาหากินจนเก็บพับความฝันของตนเองไว้ในมุมเงียบของหัวใจ ดูหนังฟรี แต่แล้วเมื่อถึงในวัยเกษียณตอนนี้ซึ่งลูกหลานเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว คุณตาก็ทั้งพร้อมและทั้งอยากที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจตัวเองเรียกร้องมานานแสนนาน … นั่นคือการเต้นบัลเลต์
“อีแชรก” (รับบทโดย ซง คัง) หนุ่มนักบัลเลต์ที่มีอดีตอันขมขื่นจากพ่อติดคุก และปัญหากับเพื่อนร่วมชมรมฟุตบอลในอดีต เจ้าตัวได้หันมาฝึกหัดบัลเลต์กับโค้ชดังที่มองเห็นแววความสำเร็จการเป็นนักบัลเลต์อาชีพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแชรกกลับมีปัญหาส่วนตัวทำให้ไฟมุ่งมั่นในเส้นทางการเป็นนักบัลเลต์อาชีพเลือนลางลง จนวันหนึ่งเขาได้พบกับ “ชิมด็อกชุล” (รับบทโดย พัคอินฮวาน) คุณลุงวัย 70 ปีที่แอบมาดูเขาซ้อมบ่อยๆ จนในที่สุดคุณลองก็ตัดสินใจหอบความกล้าเข้ามาขอสมัครเรียนบัลเลต์ตามฝันในวัยเด็กที่พ่อสั่งห้ามไว้ (สมัยนั้นถูกมองว่าเป็นการแสดงของผู้หญิง) และอีแชรกที่รู้สึกว่าคุณลุงมาวุ่นวายกับเขา กับโดนโค้ชสั่งให้เป็นครูฝึกสอนบัลเลต์ให้คุณลุงแทน โดยให้คุณลุงกลายเป็นผู้จัดการของเขาไปพร้อมกัน
ซีรีส์เรื่องนี้สร้างจาก Webtoon โยนักเขียนฮัน&จีมิน
ซึ่งเป็นที่นิยมขนาดหนุ่มวี BTS ยังเป็นแฟนคลับติดตามอ่าน เสียน้ำตากันมาแล้วค่ะ เรื่องราวบอกเล่าถึงหนุ่มคนหนึ่ง อีแชรก ( รับบทโดยซงคัง ) หนุ่มวัย 23 ปี ที่ฝันอยากจะเต้นบัลเล่ต์ แต่ต้องเก็บความฝันไว้ในใจเมื่อปัญหาทางบ้านนั้นหนัก จนเขาได้มาเจอกับ ชิมด็อกชุล บุรุษไปรษณีย์วัย 70 ปี ที่มีเวลาอยู่บนโลกนี้ไม่นาน แต่เขากลับอยากจะทำสิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงการเริ่มเต้นบัลเล่ต์ แม้ว่าครอบครัวจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ความฝันของคนเรา มันไม่มีอายุเป็นตัวกำหนด สองคนสองคนได้มาเจอกันในช่วงเวลาที่ความฝันดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ได้รับการผลักดันจากหนุ่มชราว่า คนเราต้องคว้ามันให้ได้ อย่ามัวใช้ชีวิตโดยที่ละทิ้งความฝันไป
คุณตาชิมด็อกชุล (รับบทโดย พัคอินฮวัน) และภรรยา ชเวแฮนัม (รับบทโดย นามุนฮี) มีลูกด้วยกัน 3 คน คนโตและคนเล็กสุดเป็นผู้ชายและมีลูกสาวเป็นคนกลาง พี่ชายคนโต ชิมซองซัน (รับบทโดย แจแฮคยอน) เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวมีหน้าที่การงานและครอบครัวที่มั่นคงพร้อมลูกสาว 1 คน ชิมอึนโฮ (รับบทโดย ฮงซึงฮี) เด็กสาวที่เพิ่งจบใหม่และกำลังอยู่ระหว่างฝึกงานเพื่อรอสัมภาษณ์ในรอบสุดท้าย ระหว่างการฝึกงานเธอได้เข้าไปทำงานในภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่งจนได้พบกับ อีแชรก (รับบทโดย ซงคัง) ที่ทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่นั่นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ชอบมาก ๆ ของซีรีส์ของพล็อตเรื่องที่บอกเล่าผ่านคนสองรุ่นที่ทำผลักดัน โอบกอด ให้กำลังใจ เพราะในโลกที่วุ่นวายนั้น บางครั้งเราต้องการคำแนะนำจากคนที่เคยผ่านชีวิตมาแล้ว อีแชรกจึงเป็นตัวละครที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นอีกหลาย ๆ คนที่ละทิ้งความฝันไป พล็อตเรื่องดีมาก ๆ ให้ข้อคิดที่ดี ภาพก็สวย แถมหนุ่มซงคังด้วยความที่ฝึกหนักมา ต้องปรบมือให้กับการกล้าที่จะรับบทนี้ และนักแสดงรุ่นใหญ่วัย 70 อย่าง พัคอินฮวาน การแสดงดีไม่มีที่ติ แต่ด้วยความที่อายุมาก และต้องมารับบทเต้นบัลเล่ต์ ถือว่าท้าทายและยอมใจสปิริตจองนักแสดงรุ่นใหญ่จริง ๆ
วันหนึ่งเมื่อ คุณตาชิมด็อกชุล เดินผ่านและเหลือบไปเห็นโรงเรียนสอนเต้นบัลเลต์ทำให้คุณตาหวนนึกถึงความฝันวัยหนุ่มที่ทุกคนพร่ำบอกว่าให้พับความฝันนั้นเก็บเอาไว้เพราะภาระหน้าที่มากมายพร้อมความไม่เหมาะสมที่มีบรรทัดฐานบางอย่างซึ่งใครไม่รู้เคยกำหนดไว้ แต่เมื่อคุณตาได้ฟังคำจากเพื่อนที่เพิ่งล้มหายตายจากไปคนหนึ่งซึ่งก่อนจะจากไปเพื่อนได้ย้ำว่าให้เขาทำตามความฝันให้ได้ซักครั้งหนึ่งก่อนจะจากโลกนี้ไป คุณตาจึงตัดสินใจเดินไปที่โรงเรียนสอนเต้นบัลเลต์แห่งนั้นและในที่สุดก็ได้ อีแชรก ซึ่งเป็นนักบัลเลต์ฝีมือดีอยู่ที่แห่งนั้นมาเป็นคุณครูสอนบัลเลต์ให้คุณตา
ซีรีส์เล่นเรื่องของคนสองวัยไปแบบเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่อีแชรกจะเป็นพระเอกหน้าใสอยู่คนเดียว แต่บทของคุณลุงชิมด็อกชุลมากกว่าที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง และก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ในวงการซีรีส์เกาหลีพอสมควร เมื่อเรื่องนี้เน้นดารานำชายคู่สองคน สองวัย ไม่ได้ขายนางเอกมาประกบ แม้ในเรื่องจะมีโผล่มาอยู่บ้างกับบทพนักงานเสิร์ฟร้านเดียวกับที่พระเอกทำงานพาร์ทไทม์ ซึ่งเป็นหลานสาวของคุณลุงในเรื่องนี้ชื่อ “อึนโฮ” แต่ก็เป็นบทสมทบมากกว่าจะมาเป็นดารานำในเรื่อง (โปสเตอร์ภาพโปรโมทหลักๆ จะเป็นแค่ซง คัง กับพัคอินฮวาน)
ซึ่งการที่เนื้อเรื่องเล่นกับเรื่องความฝันของตัวละครชายต่างวัยต้องมาอยู่ด้วยกัน ออกแนวมิตรภาพต่างวัยก็โดยไม่มีเลิฟไลน์มาเกี่ยวข้องให้วุ่นวาย ก็เท่ากับว่าเรื่องต้องเน้นเล่าเรื่องอาชีพบัลเลต์จริงจังมากกว่าอย่างอื่น ซึ่งตัวบัลเลต์เองก็เป็นศิลปะการแสดงที่จัดว่าเข้าถึงได้ยาก แม้แต่วงการภาพยนต์หรือซีรีส์เองยังไม่ค่อยมีเจาะลึกบัลเลต์สักเท่าไหร่
(ก่อนนี้มีของเน็ตฟลิกเรื่องเดียวคือ Tiny Pretty Things) ด้วยความยากของการหานักแสดงที่ต้องรูปร่างหน้าตาต้องได้ การเข้าฝึกบัลเลต์จริงๆ ให้พร้อมกับการแสดงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งซงคังก็ผ่านการฝึกมาเกินครึ่งปีเพื่อมารับบทนี้ แต่ไม่ใช่แค่ซงคังที่ต้องฝึก คุณลุงพัคอินฮวานก็เช่นกัน เพราะในเรื่องนี้คือการที่คุณลุงอดีตอาชีพบุรุษไปรษณีย์วัย 70 ต้องมาฝืนสังขารร่างกายฝึกร่างกายให้เล่นบัลเลต์เพื่อแสดงจริงบนเวทีได้ ไม่ใช่แค่การฝึกเล่นๆ ซึ่งการแสดงของทั้งคู่ที่ออกมาก็ดูสมจริงทั้งอีแชรกที่ดูมีพรสวรรค์เก่งอยู่แล้ว กับคุณลุงที่เริ่มไต่เต้าพื้นฐานใหม่ ทำให้คนดูเอาใจช่วยทั้งคู่ได้จริงๆ เรียกว่าสอบผ่านเลยกับความสมจริง และความเข้มของเรื่องราวบัลเลต์ในเรี่องที่ไม่ใช่ง่ายๆ
แม้ในส่วนของพาร์ทบัลเลต์กับมิตรภาพสองวัยจะออกมาดี แต่ในพาร์ทอื่นของเรื่องกลับดูเหมือนพยายามใส่ปมดราม่าเข้ามามากมายจนดูล้นๆ ตั้งแต่การให้พระเอกมีปมปัญหาในอดีตที่ยังไม่ได้เปิดเผยในตอนแรกๆ ทั้งเรื่องพ่อกับเพื่อน และในส่วนของครอบครัวคุณลุงเองก็มีปัญหาหลายอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กที่แยกขาดออกไปจากครอบครัว อึนโฮนางเอกของเรื่องก็มีปมปัญหาเรื่องการทำความฝันขัดแย้งกับพ่อที่ขีดไว้ ตัวเรื่องใส่ตัวละครสมทบให้มีเส้นเรื่องย่อยๆ เข้ามาในเรื่องเยอะมาก อาจจะเพื่ออุดเนื้อหาของบัลเลต์ที่ยังมีไม่มากพอก็ได้
แน่นอนว่าการที่ คุณตาชิมด็อกชุล มาเต้นบัลเลต์ย่อมไม่ได้เป็นที่เห็นด้วยจากคนรอบข้าง 100% เพราะลูกบางคนคิดว่ามันน่าอายที่ให้คุณตาแก่ ๆ มาใส่ชุดบัลเลต์รัดติ้วและเต้นโชว์บนเวทีหรือไอ้ความคิดที่ว่าพ่อแม่ที่เกษียณควรจะไม่ทำอะไรเลยอยู่บ้านเฉย ๆ ใช้เงินที่ได้มาจากลูกแล้วพักผ่อนในช่วงบั้นปลายของชีวิตอย่างสุขสบายดีกว่าเถอะ แต่ความสุขของมนุษย์แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ดังนั้นแกจึงเลือกที่จะนำความฝันซึ่งแอบซ่อนในมุมมืดของหัวใจแกมานานแสนนานออกมาเพื่อเติมเต็มวัยอาวุโสที่นับวันก็ยิ่งเริ่มว่างเปล่าขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งที่ได้กลับมาจากการได้เข้าไปเรียนเต้นบัลเลต์ครั้งนี้ของคุณตา มันได้อะไรมามากกว่าการได้เต้นบัลเลต์แน่นอน
การใช้ ศิลปะการเต้นบัลเลต์ รีวิวซีรี่ย์ Navillera (2021)
มาเป็นตัวเชื่อมโยงมิตรภาพอันงดงามระหว่าง คุณตาชิมด็อกชุล กับ หนุ่มนักเต้นบัลเลต์ผู้มีแววดีอย่าง อีแชรก ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ฉลาดมากของผู้แต่ง บัลเลต์แน่นอนว่ามันดูไม่ค่อยจะได้เดินทางไปพร้อมกับวัยผู้เฒ่าผู้แก่มากซักเท่าไหร่และบอกได้เลยว่าก่อนซีรีส์ออกอากาศยังคิดภาพไม่ค่อยออกว่าคุณตาจะเต้นออกมาในรูปแบบประมาณไหน
แต่หลังจากที่ได้รับชมครบจบในช่วง 4 ตอนแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอบอกได้เลยว่าผสมองค์รวมแล้วซีรีส์มีรสชาติกลมกล่อมโดยรวม หอมหวานแต้มร้อยยิ้มในบางโอกาส ซึ้งตราตรึงอิ่มเอมใจน้ำตาเอ่ออยู่บ่อยครั้ง และสะท้อนภาพของครอบครัวตัวเองในหัวสมองอยู่หลายพาร์ท …. ที่สำคัญมันสนุกมาก
ทีมนักแสดงนำ ซงคัง – พัคอินฮวัน – นามุนฮี – ฮงซึงฮี และอีกมากมายขอบอกว่าเป็นทีมที่ฝีมือดีแบบหายห่วง ขอชมเพิ่มเติมว่าท่วงท่าของ ซงคัง ในการถ่ายทอดบทบาทนักเต้นบัลเลต์มืออาชีพ อีแชรก นี้เจ้าตัวทำได้เนียนมากจนนึกว่าเรียนมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ช่วงหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ในงานแถลงข่าว ซงคัง เผยว่าเขามีโอกาสได้เข้าเรียนการเต้นบัลเลต์ก่อนถ่ายทำเพียง 6 เดือน ด้วยเวลาที่จำกัดนี้เอง แทนที่เขาจะเน้นหนักไปที่การเต้นแบบมืออาชีพ เขาตัดสินใจที่จะมุ่งไปที่การเต้นด้วยท่าทางและร่างกายที่สวยงามพร้อมการแสดงออกทางสีหน้าที่มีอารมณ์ร่วมกับการแสดงให้ได้มากที่สุด และใช่ค่ะ เขาทำมาถูกทางแล้วเพราะซงคังแสดงออกมาได้เหมือนนักเต้นบัลเลต์มืออาชีพจริง ๆ
ซงคัง ในงานแถลงข่าวของซีรีส์ยังกล่าวอีกหนึ่งประโยคว่า “ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ขายแค่ความบันเทิง แต่ขายความซาบซึ้งด้วย”
ใช่เลยค่ะประโยคนี้ ความบันเทิงเป็นแค่เรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือความใจฟูพร้อมบทเรียนสอนชีวิตมากมายที่แซมอยู่ตามขอบตามมุมของเรื่องราว เส้นทางการฝึกเต้นบัลเลต์ของ คุณตาชิมด็อกชุล จะลงเอยอย่างไรอันนี้ต้องรอติดตามจากซีรีส์ แต่หลังจากดูคุณตาแล้วอย่าลืมนำแรงฮึกเหิมมาเติมเชื้อไฟในการทำตามความฝันของตัวเอง
ซงคัง รับบทเป็น อีแชรก (อายุ 23 ปี) หนุ่มนักบัลเลต์ดาวรุ่ง วัย 23 ปี เขาเติบโตมาด้วยการเล่นกีฬาหลากหลาย จนกระทั่งเริ่มสนใจบัลเลต์ ซึ่งเป็นอาชีพของแม่ของเขา แม่ของแชรกเสียชีวิตด้วยโรคร้ายตั้งแต่เขายังเด็ก และพ่อของเขาล้มละลาย แชรกแทบไม่ได้ติดต่อกับพ่อและเขาเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากจากปัญหาทางการเงิน ซึ่งทำให้ความฝันในการเต้นบัลเลต์ของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป จนกระทั่งเขาได้รับการสนับสนุนอย่างอบอุ่น และ เรียนรู้บทเรียนชีวิต หลังจากที่พบกับ ชิมด็อกชุล นักบัลเลต์มือใหม่วัย 70 ปี ที่ไล่ตามความฝันของเขาด้วยใจมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยพบเจอมา
พัคอินฮวัน รับบทเป็น ชิมด็อกชุล (อายุ 70 ปี) ชายชราวัย 70 ปีที่มีความฝันอันยาวนานว่าอยากจะขึ้นแสดงบัลเล่ต์ เขาเกษียณจากงานประจำในตำแหน่งพนักงานไปรษณีย์ ในสมัยก่อนด้วยภาระหน้าที่และต้องเลี้ยงดูครอบครัวทำให้เขาหยุดที่จะทำตามความฝัน แต่มาถึงในตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะทำความฝันให้เป็นจริงแม้ว่าภรรยาและลูก ๆ จะไม่เห็นด้วยกับการทำสิ่งนี้มากเท่าไหร่ก็ตาม
นามุนฮี รับบทเป็น แฮนัม ภรรยาของ ชิมด็อกชุล ที่ดูแลชีวิตลูก ๆ ซึ่งโตแล้วเสมือนเป็นชีวิตของตนเอง เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบโดยไม่อยากเป็นภาระให้กับลูก ๆ ในอนาคต แต่แล้วจู่ ๆ ในวันหนึ่งสามีมาบอกว่าอยากขึ้นแสดงบัลเล่ต์
ฮงซึงฮี รับบทเป็น อึนโฮ หลานสาวของ ชิมด็อกชุล ซึ่งใช้ชีวิตตามแผนที่พ่อของเธอได้วางเอาไว้ หลังจากที่ได้เจอกับ อีแชรก เธอก็เริ่มต้นอีกครั้งที่จะไล่ล่าตามความฝันและความสุขของเธอเอง