รีวิวซีรี่ย์ Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

 

ซีรี่ย์เกาหลีเรื่องต่อมานี้เป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว แต่ว่าก็ยังเป็นซีรี่ย์ที่สนุกและน่าดูอยู่เหมือนเดิม ว่าด้วยเรื่องราวของ พัคเอยอง นักสืบฝ่ายอาชญากรรม ที่หมกหวังกับการทำงานของตำรวจ ที่ทำให้พี่ชายของเขาต้องติดคุกทั้งๆ ที่ไม่มีความผิดจริงจนสุดดท้ายก็ต้องตายลงไป จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้พบกับวิทยุสื่อสารที่มีเสียงจาก อีแจฮัน นักสืบที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ดูหนัง 

 

ซึ่งเขาก็เป็นคนที่ชาซูฮยอนหัวหน้าทีมนี้ตามหาอยู่ด้วย และเขาก็พบว่าวิทยุสื่อสารอันนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว แต่ว่าทำถึงยังได้ยินเสียงคุยกันอยู่ เขาจึงเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการสืบคดีเมื่อ 15 ปีก่อน จนค้นพบว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง และสามารถปิดคดีที่ค้างคาได้ หลังจากนั้นการสืบสวนแบบข้ามมิติจึงเริ่มต้นขึ้น ดูหนังออนไลน์

 

รีวิวซีรี่ย์ Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

 

พัคเฮยอง (อีแจฮุน) นักจิตวิเคราะห์ลักษณะคนร้าย ที่เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ในกรมตำรวจ กองคดีค้าง ที่ไม่สามารถปิดลงได้ในอดีต และต้องรื้อคดีขึ้นมาสืบสวนใหม่ โดยมี ชาซูฮยอน (คิมฮีซู) ตำรวจหญิงเป็นหัวหน้ากอง ขณะที่กำลังสืบสวนคดีค้างในอดีตคดีแรก พัคเฮยอง ได้เก็บวิทยุสื่อสารอันเก่า ใช้งานไม่ได้จากกองขยะ ซึ่งกลายมาเป็นอุปกรณ์สื่อสารข้ามเวลา ระหว่าง พัคเฮยอง ปี 2016 และสายสืบอีแจฮัน (โจจินวูง) ปี 1989-1999 โดยทั้งสองได้ช่วยกันไขคดีดังหลายๆ คดีในอดีตด้วยกัน ดูหนัง 4k

 

สำหรับคนที่ดูซีรีส์เกาหลีที่เจาะจงลงไปว่าเป็นคอซีรีส์สืบสวนเนื้อหาเข้มข้น  ย่อมที่จะมีงานที่เป็นอันดับต้นๆที่ยกไว้บนหิ้งของความทรงจำ  และสารภาพเลยว่าผู้เขียนไม่ใช่คนที่ติดตามซีรีส์เกาหลีมาตั้งแต่ต้น  กลับกันกลับมีอคติบางอย่างด้วยซ้ำเมื่อครั้งอดีต  ที่มองว่าซีรีส์เกาหลีมักจะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างเลี่ยนและขายหน้าตานักแสดง  และนั่นมันคืออคติที่ติดอยู่ในใจจนกระทั่งเมื่อครั้งที่นอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลครั้งหนึ่งแล้วไม่มีอะไรดู ดูหนังออนไลน์ 4k 

 

จึงเลื่อนไหล IPad ไปเจอกับซีรีส์เกาหลีใน NETFLIX ที่มีนักแสดงในดวงใจคนแรกจากเกาหลีคือแบดูนาร่วมแสดง ประกอบกับไม่น่าจะเป็นเรื่องที่หวานแหววและเป็นแนวเข้มข้นจึงเปิดดูเพื่อละลายความเบื่อ  แล้วอคติที่มีในใจก็สูญสลายเมื่อเจอกับความเหนือชั้นของ Stranger (2017) หลังจากนั้นมาผู้เขียนก็เริ่มดูซีรีส์เกาหลีมาเรื่อยๆและแน่นอนว่าต้องเป็นแนวบริหารสมองแบบเข้มๆ (ก่อนที่จะเจอกับ When The Camellia Blooms (20196)) จึงทำให้ได้เจอกับงานระดับยอดเยี่ยมก็หลายระดับธรรมดาก็เยอะ  แต่ที่ผู้เขียนยกให้เป็นงานซีรีส์สืบสวนในดวงใจที่เหมือนเป็นของคลาสสิคที่ก่อนหน้านั้นไม่รู้แต่ว่างานในช่วงหลังๆมามีลูกเล่นของเรื่องเหล่านี้มาเจือปนทุกเรื่อง  รีวิวซีรี่ย์ 

“จะดีแค่ไหนหากเราสามารถสื่อสารกับอดีต เพื่อแก้ไขเรื่องราวร้ายๆที่เคยเกิดขึ้น และป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ”

 

ผู้เขียนจึงหยิบยกเอาเรื่องนี้ที่คลาสสิคจนกระทั่งมีการรีเมเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่นและกำลังจะมีเวอร์ชันไทยที่กำลังถ่ายทำ  และตัวละครเอกก็เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรที่เหมือนกัน  งานซีรีส์ที่เห็นไอเดียคล้ายถูกพัฒนามาจากหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่จัดว่าบรรเจิดมากตอนออกฉาย  และดีกรีความสนุกก็จัดมาเต็มที่คือหนังเรื่อง Frequency ในปี 2000 (นำแสดงโดยเดนิเควด และจิม คาวีเซล)

 

หนังที่ว่าด้วยเรื่องของการติดต่อกันระหว่างลูกในปัจจุบันกับพ่อในอดีตผ่านวิทยุสื่อสารเก่าๆเพื่อไขคดี ซึ่งพอมาเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีเทคนิคและชั้นเชิงการเล่าเรื่องชั้นยอดเรื่องนี้  มันคือการต่อยอดไอเดียบรรเจิดให้ยกระดับความละเอียดขึ้นจนไปถึงความยอดเยี่ยม 

 

โดยวันหนึ่งเฮยองบังเอิญได้เจอกับวิทยุสื่อสารเก่าตัวหนึ่ง ซึ่งวิทยุสื่อสารตัวนี้คือกุญแจแห่งความจริง ที่จะช่วยจุดประกายบางอย่างในชีวิตของเขาอีกครั้ง คนต่อมาคือโจจินวุง รับบทเป็น แจฮัน ตำรวจจากอดีตได้ ในวัยเด็กเขาเคยเล่นยูโดจนเกือบจะเป็นตัวแทนโอลิมปิก แต่ความฝันของเขาก็พังทลายลง เพราะเขาได้รับบาดเจ็บ เขาจึงตัดสินใจเป็นตำรวจจราจร เพราะหน้าที่นี้ใช้เพียงแรงกาย ไม่ต้องใช้สมอง และในปี 1989 ก็มีเสียงเรียกจากวิทยุสื่อสารเข้ามา ทำให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนอนาคต

 

และนี่เองคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เฮยองสามารถไขคดีที่ยังปิดไม่ลงจากอดีตได้ และคนสุดท้ายที่จะมาแนะนำนั้นก็คือคิมฮเยซู รับบทเป็น ซูฮยอน ตำรวจสาวหน้าใหม่ โดยเธอมีความเชื่อว่าเธอสามารถช่วยโลกใบนี้ได้ แต่แล้ววันหนึ่งโลกอันสดใสของเธอก็ดับลง เพราะรักแรกของเธอดันหายตัวไป เธอจึงอุทิศชีวิตให้กับงาน จนกระทั่งเธอได้ยินเฮยองคุยวิทยุสื่อสารเก่า ๆ ตัวหนึ่ง โดยซีรี่ย์เรื่อง Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

 

พล็อตเรื่องดีมากๆๆ เล่าเรื่องได้สนุก ซับซ้อน ตื่นเต้น น่าติดตาม และยังแทรกความตลก รวมถึงดราม่าไว้ได้ครบรสจริงๆ ขอชื่นชมนักเขียน ผู้กำกับและนักแสดงที่ถ่ายถอดเรื่องราวออกมาในดีมากๆๆ จนเราอินตาม ลุ้นตามไปด้วย และน่าทึ่งมากๆๆ ที่คดีในเรื่องเป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลี แล้วนักเขียนเอามาดัดแปลงใส่ในซีรีส์ คือสุดยอดมากๆๆ

 

เปิดหัวมาด้วยการเผยรอยแผลในอดีตของเด็กชายคนหนึ่ง  ที่ไม่รีรอที่จะบอกว่าเขาคือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรนามว่าพัคแฮยอง (อีแจฮุน) แล้วต่อมาด้วยการพบกันระหว่างหมวดพัคกับสายสืบชาซูฮยอน (คิมฮเยซู) จากความเข้าใจผิดสายสืบชาจึงพาหมวดพัคมาที่ สน. เมื่อหมวดพัคกำลังจะกลับเสียงของวิทยุสื่อสารเก่าๆเครื่องหนึ่งก็ดังขึ้นที่กองวัสดุเก่าที่กำลังจะถูกนำไปทิ้งทำลายและหมวดพัคหยิบมันขั้นมาสนทนา

 

แล้วเสียงจากวิทยุสื่อสารได้นำพาให้หมวดพัคไปเจอหลักฐานสำคัญในคดีที่ค้างคาปิดไม่ลงและกำลังจะหมดอายุความ หมวดพัคและสายสืบชาจึงต้องร่วมกันไขคดีแรกและพบว่ามันเกี่ยวพันกับคดีการหายตัวไปของสายสืบอีแจฮัน (โจจินอุง) และเมื่อหมวดพัคทราบว่าการติดต่อผ่านวิทยุสื่อสารนั้นคือเสียงของสายสืบอีแจฮันที่อยู่ในอดีต  จากความไม่เชื่อกลายมาเป็นเชื่อและร่วมกันไขคดีในอดีตที่ส่งผลมายังปัจจุบัน

รีวิวซีรี่ย์ Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

รีวิวซีรี่ย์ Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

ซีรี่ย์เรื่อง Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา เปิดเรื่องราวมาที่พัคเอยอง นักสืบคดีอาชญากรรม ผู้ที่หมดศรัทธาในการทำงาน เพราะพี่ชายของเขาเคยต้องถูกจำคุกโดยความผิดที่ไม่ได้กระทำ และสุดท้ายต้องจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย โดยวันหนึ่งพัคเอยองได้พบกับวิทยุสื่อสารรุ่นเก่า ที่มีเสียงจากตำรวจนักสืบ อีแจฮัน และเขาก็ยังได้พบอีกว่า วิทยุสื่อสารเก่าเครื่องนั้นจริงๆแล้วไม่สามารถทำงานได้แล้ว เขาเลยสงสัยว่าเสียงที่พูดอยู่ในวิทยุมันมาได้อย่างไร เลยลองไปในสถานที่ ที่อีแจฮันบอกเพื่อให้ไปสืบคดีที่ค้างมาจากเมื่อ 15 ปีก่อน

 

ซึ่งมันเกี่ยวพันกันเหมือนโชคชะตาระหว่างสายสืบอีแจฮันหมวดพัคแฮยอง และสายสืบชาซูฮยอนอย่างแนบแน่น  ทำให้ในที่สุดสายสืบในอดีตกับตำรวจในปัจจุบันต้องร่วมกันไขคดีที่ค้างคามากมายผ่านการสื่อสารทางวิทยุสื่อสารเก่าๆนั้น  และเรื่องราวก็เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายหลากหลายที่เป็นปริศนาซ้อนปริศนาปมซ้อนปม ที่แน่นจนคาดเดาไม่ออก  ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังตั้งแต่ตอนแรกและยากที่ผู้ชมจะหยุดอยู่ เพราะทั้งมันส์และสนุกเหลือเกิน

 

เมื่อไปถึงสถานที่นั้นก็ได้รู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง และสามารถปิดคดีนั้นที่เกือบจะหมดอายุความจากอดีตได้  และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาได้สื่อสารกันข้ามมิติ ระหว่างที่ พัคเอยอง และ ชาซูฮยอง อยู่ในปี 2015 แต่ อีแจฮัน อาศัยอยู่ในปี 1989 แต่ทั้ง 3 คนก็ได้ช่วยกันสืบคดีคั่งค้างอยู่ในอดีตแบบทะลุมิติในคดีอื่นๆ อีกหลายคดีด้วยกันทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอดีตที่ส่งผลต่อปัจจุบัน อีกด้วย เรื่องราวการสื่อสารข้ามเวลาของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมในซีรี่ย์เรื่อง Signal สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

 

แรกเลยที่ทำให้เรื่องนี้ได้บัญญัตินิยามที่ว่า “อีกสักตอนไม่มีอยู่จริง” ให้ใครหลายคนนั่นคือเนื้อเรื่องที่แข็งแรง  ก็ใช่ที่มันมองเห็นความเกี่ยวพันกันปานโชคชะตาลิขิตมาอย่างน่าประหลาด  แต่นั่นต้องยอมรับอีกอย่างว่าซีรีส์เรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 2016 และเห็นชัดเจนเรื่องแรงบันดาลใจ  แต่ความที่มันมีความเกี่ยวพันกันนั้นแต่ผ่านการผูกเรื่องที่แน่นหนาจากงานด้านบทที่ไม่มีริ้วรอยจึงทำให้เรื่องแข็งแรงมาก

 

ประกอบกับชั้นเชิงการเล่าเรื่องสลับห้วงเวลาที่เล่าได้ข้าใจง่ายไม่ต้องระทมกบาลก็ยิ่งทำให้คดีต่อคดีประเด็นต่อประเด็นถูกพัฒนาตามเวลาที่ล่วงผ่าน  ทำให้เรื่องไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่เดินหน้าไปอย่างขึงขังไม่หยุดยั้ง  จนกระทั่งหลายคนต้องอดหลับอดนอนเพราะมันชวนให้ติดตามอย่างเหนือชั้น

 

ทำให้เรื่องเดินหน้าเต็มกำลังตั้งแต่ตอนแรกแล้วทวีเงื่อนปมเรื่องราวให้เข้มขึ้น  ระทึกขึ้น  ทิ้งปมปริศนาให้ชวนติดตามขึ้นเรื่อยๆในตอนท้ายของทุกตอน  ส่งผลให้ผู้ชมยากที่จะหยุดดูได้  จนอาจมีบ้างบางคนอดหลับอดนอนกันและผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถึงตีสามไปโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการตัดต่อที่ฉับไวแต่ไม่ดูโดดแม้จะตัดไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันทำให้ลุ้นทุกนาที ซึ่งองค์ประกอบที่ว่านี้มาจากบทที่ไร้ที่ติ

 

งานทางด้านภาพ  และชั้นเชิงการเล่าเรื่องทำให้ตลอดสิบหกตอนที่ผ่านไปไม่มีตอนไหนที่พลังตก มีแต่เพิ่มขึ้นในทุกๆตอนเมื่อเงื่อนปมต่างๆที่วางไว้ในคดีที่ร่วมกันไขมาเริ่มขมวดเข้าใกล้ความจริง  แล้วก็หักมุมจนอย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่แม้จะเหมือนหลอกผู้ชมให้คาดเดาแล้วหักหลัง  ผู้ชมอย่างเราๆยังคิดว่า รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก

 

ส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือเรื่องของเทคนิคด้านภาพ ที่การใช้สเกลและสีของภาพที่ต่างกันเพื่อสื่อให้เห็นว่าอันไหนคืออดีตอันไหนคือปัจจุบัน  ทำให้เรื่องราวที่ดูเหมือนซับซ้อนห้วงเวลาที่ต่างกันถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน  เห็นภาพ  และผู้ชมไม่งง ด้วยบทที่ยอดเยี่ยมในการวางกลซ้อนกล  เหลี่ยมซ้อนเหลี่ยม  เปิดหน้าแล้วเฉลย  พลิกผันไปมา  และหักมุมครั้งแล้วครั้งเล่าจนคนดูเดาทางไม่ออกตามสไตล์เกาหลี

 

บทที่วางคดีซ้อนคดีให้แต่ละคดีที่ดูเหมือนจะแยกออกจากกันหรือต่างกัน  แต่กลับกลายมาเกี่ยวพันกันอย่างลงตัวอย่างน่าทึ่ง  บวกกับชั้นเชิงการเล่าเรื่องและพัฒนาการของเรื่องในด้านบท  ตัวละคร  และความรู้สึกที่ค่อยๆขมึงทึงขึ้นเรื่อยๆของผู้ชม

 

ด้วยบทที่ไร้ที่ติในเรื่องของไอเดียและชั้นเชิง สิ่งที่ตามมาที่จะเสริมให้ตัวเรื่องมีน้ำหนัก  สมจริง  ดึงอารมณ์ร่วมของผู้ชมให้ไปจนสุดทางคือการแสดง  เพราะตัวละครทุกตัว ย้ำ ทุกตัวไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังมีปมในใจทุกคน  ซึ่งด้วยมิติทางด้านอารมณ์และความลึกของตัวละครขนาดนี้

 

หากนักแสดงเล่นไม่ได้ตัวเรื่องมีเป๋กลางทางเป็นแน่เพราะมันเป็นเรื่องราวออกแฟนตาซีสืบสวนสอบสวนที่เป็นจริงแค่ในจินตนาการ   ซ้ำยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเงื่อนทั้งกับตัวเรื่อง  คดี  และมิติตัวละครที่มีความซับซ้อนอยู่ข้างใน  ดังนั้นนักแสดงต้องรับผิดชอบบทของตัวเองให้เต็มที่ที่สุด

 

ซึ่งกับเรื่องนี้ผู้เขียนมองไม่เห็นว่าคนไหนด้อยกว่ากันอย่างชัดเจน ทุกคนล้วนมีซีนมีเวลาทองและมีความน่าจดจำพอกัน  แต่ที่คิมฮเยซูดูเหมือนจะเหลื่อมกว่าคนอื่นนิดหน่อยนั่นเพราะตัวละครของเธอมีมิติทางอารมณ์สูงกว่าคนอื่น เพราะมีเรื่องของความรักข้างเดียว  ความสูญเสีย  ความคิดถึง  ความสับสน  และความสงสัย  ซึ่งสารภาพตรงนี้คือคิมฮเยซูแสดงได้ดีที่สุดเท่าที่ได้เห็นมาในงานซีรีส์ (ไม่นับงานหนังใหญ่)

 

แม้ว่าผู้เขียนเองเมื่อดูเรื่องนี้แล้วจะติดใจการแสดงของเธอแล้วตามดูเธอมาอีกหลายเรื่อง  ก็ยังเห็นว่าการแสดงของคิมฮเยซูเรื่องนี้คืองานระดับมาสเตอร์พีซ ที่สามารถถ่ายทอดจากภายในออกมาให้เห็นได้จนผู้ชมรู้สึกไปกับเธอ