รีวิวซีรี่ย์ The Call
รีวิวซีรี่ย์ The Call
เรื่องย่อ ซอยอน (พักชินฮเย) หญิงสาวผู้พบว่าโทรศัพท์ในบ้านของเธอสามารถโทรไปยังบ้านหลังนี้ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนได้ และทำให้เธอได้คุยกับลูกสาวเจ้าของบ้านคนก่อนหน้าอย่าง ยองซุก (จอนจงซอ) การพบพานของ 2 สาวทำให้เกิดการช่วยเหลือกันแก้ไขอดีต แต่สุดท้ายแล้วซอยอนก็จะได้พบว่ายองซุกอาจไม่ใช้หญิงสาวอ่อนแอน่าสงสารอย่างที่เธอเข้าใจ ดูหนัง
พล็อตฮิตในปี 2020 นี้เถียงไม่ได้เลยว่าพล็อตข้ามเวลาหรือพล็อตโลกคู่ขนานนั้น มาแรงมากแบบฉุดไม่อยู่ ในฝั่งของซีรีส์มีพล็อตแนวนี้ออกมานับไม่ถ้วนทั้งเรื่อง Alice , The King: Eternal Monarch , Train , 365: Repeat The Year หรือ Kairos ที่กำลังออนแอร์อยู่ในขณะนี้ ในฝั่งของภาพยนตร์ก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่ง The call ภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ ระทึกขวัญที่ผสมผสานความเป็นแฟนตาซีข้ามเวลาเข้ามาทวีความลุ้นระทึกจนคนดูต้องลุ้นตามกันจนเหนื่อย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้น้องผักหรือ พัคชินฮเย นางเอกแนวหน้าของวงการ มาประชันฝีมือกับนักแสดงสาวดาวรุ่งแห่งวงการภาพยนตร์ จอนจงซอ ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Burning เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยนักแสดงสมทบมากความสามารถอย่าง คิมซองรยอง และ อีเอล ที่ต่างก็ปล่อยของใส่กันสุด ๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูหนังออนไลน์
ซอยอน และ ยองซุก กลายเป็นเพื่อนต่างช่วงเวลา ที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวดี ๆ ความแตกต่างของยุคสมัยต่อกัน จนกระทั่งวันหนึ่งยองซุกได้พบกับครอบครัวของซอยอนในอดีต ทำให้ซอยอนรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ ยองซุกจึงได้ช่วยเหลือให้พ่อของซอยอนรอดพ้นจากความตาย ส่งผลให้ช่วงเวลาปัจจุบันของซอยอนนั้นเปลี่ยนไป ..เมื่อการเปลี่ยนอดีตสามารถสร้างอนาคตใหม่ได้ ยองซุกจึงต้องการให้ซอยอนช่วยเหลือเธอจากแม่เลี้ยงใจร้ายบ้าง แต่นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของทั้ง 2 ไปตลอดกาล ดูหนัง 4k
โอยองซุก ที่รับบทโดย จอนจงซอ ในเรื่องนี้เรียกได้ว่าพกความโรคจิตมาปล่อยแบบไม่มีกั๊ก ทุกฉากที่เธอออกมาไม่ว่าจะน้ำเสียง แววตา การขยับของร่างกายก็ล้วนบ่งบอกว่าจิตใจของเธอนั้นไม่ปกติ เธอนั่นต้องทนทุกข์กับการโดนทารุณจากแม่เลี้ยงอย่างโหดร้ายมาตลอดหลายปี ทำให้นอกจากบาดแผลทางร่างกายแล้วบาดแผลทางจิตใจที่ถูกทำร้ายก็สะสมจนเธอกลายเป็นคนมีบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งและต่อต้านสังคม ที่ทวีความรุนแรงในพฤติกรรมการแสดงออกของเธอไปอีกเป็นทวีคูณ เรียกได้ว่าจงซอเล่นได้ไม่ดร็อปเลยแม้แต่ฉากเดียว ดูหนังออนไลน์ 4k
ความสนุกของ The Call คือการที่รู้ตัวเองว่ามีจุดขายอะไร และพาคนดูไปสู่จุดนั้นโดยไม่เสียเวลากับองค์ประกอบรอบ ๆ ข้าง โดยให้เป็นภาระของคนดูในการเชื่อมโยงและทำความเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องเอาเอง หนังมีลูกเล่น ชั้นเชิงการเล่าเรื่อง การลำดับเหตุการณ์ และเทคนิคพิเศษ ที่นำเสนออกมาได้ดี น่าติดตาม ดูสนุก และลุ้นระทึกไปกับเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะแอบติดขัดกับความสมเหตุสมผลกับเงื่อนเวลาต่าง ๆ ในเรื่อง ราวกับจงใจกระตุ้นให้คนดูสงสัยและตั้งคำถาม แต่ก็เป็นการเปิดพื้นที่ท้าทายการตีความของคนดู ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องแนว Time Traveling และ Time Paradox หรือว่าทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของคนเป็นโรค Pathological Lying หรือ Delusional Disorder รีวิวซีรี่ย์
นั่นหมายความว่าหนังเรื่องนี้ดูได้ถึง 2 ระดับ คือ ดูเพื่อความบันเทิง เข้าใจตามที่เรื่องราวบอกออกมา หรืออีกแบบคือ ดูแบบวิเคราะห์เพื่อหาจุดเชื่อมโยงต่าง ๆ เพื่อให้หาข้อสรุปในแบบของตัวเอง The Call สายตรงต่ออดีต ได้ 2 นักแสดงสาวคุณภาพที่มีแฟนคลับชาวไทยมากพอสมควร พักชินฮเย ที่เราเพิ่งผ่านตาการแสดงของเธอมาหมาด ๆ จาก #Alive ด้าน จอนจงซอ แฟน ๆ ยังจดจำได้เสมอจาก Burning (2018) ทั้งสองมอบการแสดงคุณภาพ ที่ช่วยเพิ่มมิติให้ทั้ง 2 ตัวละครมีทั้งมุมบวกและมุมลบ น้ำเสียง สีหน้า แววตา ผ่านการแสดงด้วยการคุยโทรศัพท์ (เกือบทั้งเรื่อง) ช่วยยกระดับให้เรื่องมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น
าพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงต้นเรื่องที่เป็นการเกริ่นนำสามารถทำได้ดีชวนติดตามอยู่พอสมควร ชวนให้อยากรู้และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอดีตจะถูกเปลี่ยนเช่นไรส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไร ใครจะต้องมาตายเพราะยองซุกอีก และซอยอนจะเอาตัวรอดและเอาชนะยองซุกได้ด้วยวิธีอะไร เนื้อเรื่องมีความค่อย ๆ บีบคั้นและกดดันมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วง 30 นาทีสุดท้ายตัวหนังทำออกมาได้มันส์หยด จนหัวใจจะวาย นอกจากจะต้องลุ้นระทึกเอาใจช่วยซอยอนและซู้ดปากกับความโหดเหี้ยมของยองซุกแล้ว โปรดักชั่นของตัวหนังก็ทำออกมาได้ดี มีความสดใหม่ ฉากที่ปัจจุบันเปลี่ยนภาพ CG สวยเนียนกริ๊บ มุมกล้อง ซาวน์เสียง โลเคชั่นหรือการจัดแสงต่างๆ ก็ทำออก
โดยรวมถือว่า The call เป็นภาพยนตร์ที่สนุกในระดับดี ตัวบทนำเสนอออกมาได้น่าสนใจที่สามารถเอาความแฟนตาซีเกี่ยวกับมิติเวลามาผสมผสานไปกับความสยองขวัญ ความลุ้นระทึกสั่นประสานไปกับการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นในเรื่อง ผ่านตัวละครที่แทบจะมีแต่ผู้หญิง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นักแสดงหญิงต่างก็ปล่อยของโชว์พลังกันไม่หยุด
เดิมหนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายในเกาหลีในช่วงปีนี้หลังจากถ่ายทำเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เมื่อปีก่อน ทว่าด้วยสถานการณ์โควิด-19 ในเกาหลีที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ในที่สุดชาวเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลกจึงโชคดีที่จะได้รับชมพร้อมกันแบบเวิลด์พรีเมียร์แทนไปเลย ทั้งนี้ที่ว่าเป็นความโชคดีโดยส่วนตัวแล้วนั่นก็เพราะว่า ตัวหนังมีข้อเด่นสำคัญถึง 3 ประการที่ทำให้ส่วนตัวผู้รีวิวนั้นอยากดูมากกกก
เพราะ ซอยอน เป็นตัวละครที่มีทั้งแข็งและอ่อนในตัว เธอเข้มแข็ง ตอบโต้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติในแบบมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่เชื่อได้ เธอไม่ใช่เหยื่อที่อาละวาดโวยวายและปล่อยบทบังเอิญเข้าช่วยเหลือให้จบแฮปปี้เอนดิ้ง ในขณะเดียวกันพักชินฮเยก็มอบด้านอ่อนแอให้เธอได้อย่างน่าสนใจ ด้วยภาษากายที่สะท้อนความบอบบางของตัวละครที่มักโอบกอดตัวเอง เดินอย่างไร้ความมั่นใจ และดวงตาที่สั่นไหวราวกับร้องไห้อยู่ภายในด้วยแผลในอดีตที่เราไม่เคยรับรู้ แต่กระนั้นก็มีดวงตาที่ทรงพลังพอให้เห็นว่าเธอพร้อมสู้เอาชีวิตเข้าแลกได้ยามเมื่อจวนตัว และเมื่อนุ่มนอกแข็งในเช่นนี้ จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นตัวละครที่เราเอาใจช่วย และยืนเคียงข้างได้ตลอดเรื่องแบบยินดีมอบกายถวายใจ เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อกันมากทั้งตัวเอก-ตัวร้าย
3 แม้จะเป็นหนังยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ อีชุงฮยอน แต่มันก็มีคุณภาพในแบบที่น่าจับตามมอง ด้วยเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากหนังประเทศอังกฤษเรื่อง The Caller (2011) ของ แมธธิว พาร์กฮิลล์ และบทของ เซอร์จิโอ แคสซี ที่มีจุดเด่นของพล็อตเรื่องของเวลา และการแก้ไขไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์แบบไซไฟ มาผสมกับหนังแนวธริลเลอร์จิตวิทยา เมื่อฆาตกรในอดีตมีชีวิตของตัวเอกในห้วงเวลานั้นเป็นตัวประกัน
และบังคับควบคุมให้ตัวเอกในปัจจุบันทำตามมัน แน่นอนแค่นี้ก็โคตรมันแล้วเพราะ ตัวเอกในปัจจุบันแทบไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลย เพราะไปจับต้องอดีตไม่ได้ แล้วจะสู้กับฆาตกรอย่างไร นั่นล่ะไฮไลต์เลย
สำหรับ The Call (콜) เองก็เอาจุดเด่นตรงนี้มาเสริมความแข็งแรง ด้วยวิธีการด้านดรามาติกที่ทรงพลังตามแนวถนัดของเกาหลี ซึ่งปั้นเสริมเรื่องของตัวละครให้มีมิติรอบตัวน่าสนใจขึ้น การขู่เข็ญโดยเอาชีวิตคนรอบตัวนางเอกมาต่อรองเพื่อให้เห็นบันไดของการทรมานที่ไต่ระดับจนบีบอัดตัวละครถอยติดมุมจนต้องขดตัวลงกับซอกแบบลุ้นระทึก โดยสรุป The Call สายตรงต่ออดีต เป็นหนังคุณภาพสูงทั้งในส่วนของงานสร้างและงานแสดง ที่สายบันเทิงก็ตอบโจทย์ด้านความสนุก ลุ้นระทึกได้ดี แต่ใครเป็นสายวิเคราะห์ก็น่าจะชอบกับการต่อจิกซอว์เชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน
และยิ่งต้องชมคุณภาพงานสร้างที่ไปไกลกว่าหนังต้นฉบับเอาหลายขุม เพราะโลเกชันหลักอย่างตัวบ้านที่นางเอกอยู่เพียงที่เดียวก็ต้องตกแต่งออกแบบกันถึง 3-4 เวอร์ชันทีเดียว เพราะมีการแก้ไขอดีตกันหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องนำเสนอให้เห็นผลกระทบการเปลี่ยนแปลงผ่านฉากและพร็อพทั้งหลายด้วย เรียกว่าละเอียดกันทุกซอกมุม ยังไม่นับการนำซีจีมาช่วยนำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ลงตัวดี ไม่ดูหลอกจนตลก ถ้าจะพิจารณาเทียบเคียงแล้วคงต้องยอมรับว่าวงการหนังเกาหลีไปไกลเทียบเคียงตะวันตกแล้วจริง ๆ
จุดติง อย่างว่าคงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปได้ทั้งหมด หนังก็มีจุดติงอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อจับเล่นกับเรื่องเวลาแล้วก็จะเห็นจุดโหว่น่าสงสัยอยู่นิดหน่อย เช่นว่าการคู่ขนานของเวลาในอดีตกับปัจจุบันนั้นทำงานแบบไม่เป็นไปตามกฏเดียวกันตลอดเรื่อง ยิ่งหนังมีการหักมุมกลับไปมาก็ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเป็นกรณีสมมติเช่นว่า ในอดีตนาย A ถูกแก้ไขว่าโดนฆ่าแทนที่จะมีชีวิตรอด นาย A ในอนาคตก็จะสลายหายไป
ทว่าในเวลาต่อมาหักมุมว่าจริงแล้วนาย A ในอดีตรอดตายเพราะฆาตกรเข้าใจผิดว่าฆ่าไปแล้ว ในปัจจุบันนาย A จึงกลับมาอีกครั้ง ข้อสงสัยคือในเมื่อความเป็นจริงในอดีตนาย A ไม่เคยตายจริง ๆ แล้วปัจจุบันที่นาย A หายไปนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง แน่นอนว่าหนังย่อมทำไปเพื่อหลอกล่อคนดู แต่มันก็เกิดความเพี้ยนของกฏเวลาที่ตัวหนังสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน
อีกประการก็คงเป็นจุดที่น่าเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น ในขณะที่ตัวนางเอกคุยสายไปมาแบบไม่เคยเอะใจอะไร แต่ในตอนที่ต้องใช้ประโยชน์จากความแม่นยำของความต่างเวลากลับสามารถวางแผนออกมาได้เหมาะเจาะเสียอย่างนั้น คือถ้าเป็นหนังญี่ปุ่นหรือฝรั่งที่คิดละเอียด ๆ เยอะ ๆ มันจะมีฉากที่เหลือข้อมูลให้ตัวเอกคำนวณได้ว่าเวลาของอดีตกับปัจจุบันต่างกันเท่าไหร่/หรือไม่ต่างกันเลยในหลักชั่วโมงหลักนาที เพราะจุดนี้ต้องถูกเอามาใช้เป็นไคลแม็กซ์สำคัญในช่วงท้าย ทว่าในหนังเกาหลีเรื่องนี้ข้ามอะไรแบบนี้ไปเลย และให้อนุมานเอาว่าเวลาที่ตัวละครโทรไปหรือรับสายคือเวลาที่พอดีกับที่ตัวละครต้องการ ทำให้ลดความสมจริงลงไปสักหน่อย