รีวิวซีรี่ย์ The Sandman
ปี 1916 ผู้ศึกษาอาคมในอังกฤษรวมตัวกันอัญเชิญ มรณะ เทพแห่งความตายมากักขังเพื่อจะได้ขู่บังคับให้ฟื้นชีพผู้เป็นที่รักกลับมา หากแต่ความผิดพลาดได้ทำให้เทพอีกตนถูกกักขังไว้แทน นั่นคือ นิมิต เทพแห่งความฝันเมื่อเหล่าจอมอาคม ดูหนังออนไลน์ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการจึงฉกชิงอาวุธของนิมิตเอามาใช้ประโยชน์แทน ดูหนังฟรี โลกทั้งใบเมื่อไร้ความฝันก็ทำให้บางคนไม่อาจหลับและบางคนไม่อาจตื่น ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
และที่สำคัญเมื่อไร้ผู้ปกครองเหล่าปีศาจความฝันจึงหนีออกมายังโลกมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะฝันร้ายนาม โครินเธียน ผู้ชื่นชอบการฆ่าคน เป็นหน้าที่ของนิมิตหรือแซนด์แมนที่ต้องหาทางหนีจากการคุมขังและรักษาสมดุลของโลกอีกครั้ง ผลงานของ นีล ไกแมน (Neil Gaiman) เป็นกราฟิกโนเวลไม่กี่เรื่องที่ได้รับการยกย่องให้ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times ทั้งยังถูกขนานนามว่าคอมมิกของเหล่าปัญญาชน จนกลายเป็นหนังสือแนะนำของหลายสำนักเคียงคู่กับผลงานขึ้นหิ้งอย่าง ‘Watchmen’ ของอลัน มัวร์ (Alan Moore) และ ‘The Dark Knight Returns’ ของ แฟรงก์ มิลเลอร์ (Frank Miller)
เป็นซีรีส์ที่มีความแฟนตาซีสุด ๆ อ้างอิงเนื้อเรื่องมาจากปกรณัม รีวิวซีรี่ย์ The Sandman
ตำนาน เทพ เรื่องเล่า นิทานพื้นบ้านต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้แฟนซีรีส์สายแฟนตาซีไม่ควรพลาดรับชมเด็ดขาดเลยครับ เพียงแค่ชื่อ The Sandman ทุกคนก็น่าจะเดากันได้ว่ามาจากตำนานเรื่องอะไร เฉลยครับ! The Sandman คือเจ้าแห่งความฝัน ผู้ควบคุมความฝัน ส่วนมากก็จะเป็นฝันดี มีชื่อที่หลากหลายตามแต่ละยุคสมัย เช่น Morpheus เป็นต้น อีกหนึ่งความน่าสนใจของซีรีส์ The Sandman คือเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน (คอมมิก) ของ DC ผู้สร้างซูเปอร์ฮีโร่อย่างซูเปอร์แมน และแบทแมนนั่นเอง
หลังจากที่มอร์เฟียสหนีออกมาได้ก็พบว่า จักรวาลที่เขาอาศัยอยู่เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาจากการละเลยหน้าที่ของมอร์เฟียสในช่วง 105 ปีที่เขาถูกกุมขังไว้ สิ่งที่ผู้ชมจะได้เห็นในซีรีส์เป็นหลักเลยคือเนื้อเรื่องที่ว่าด้วย มอร์เฟียส หรือแซนด์แมนออกผจญภัยหาสิ่งของ 3 ชิ้น คือหน้ากาก ถุงทราย และทับทิมเปลี่ยนแปลงความจริง เพื่อช่วยกอบกู้จักรวาล และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งความฝันที่ถูกเรียกว่า “มอร์เฟียส” หรือ “แซนด์แมน”
วันหนึ่งเขากำลังจะจัดการกับลูกน้องของเขา แต่ปรากฏว่าโดนคาถาจากผู้ร่ายเวทมนตร์ในบ้านหลังหนึ่งพร้อมถูกจับกักขังเอาไว้เป็นเวลา 100 ปี ข้าวของอุปกรณ์ของเขาถูกชายผู้ร่ายคาถาขโมยไปจนหมด แล้วถูกขโมยไปอีกทีนึง เทพแห่งความฝันไม่ยอมปริปากพูดกับใครเลยสักคนขณะอยู่ในที่กักขังที่เป็นแก้วกระจกอย่างดี ทั้งผู้ร่ายคาถาและลูกชายของผู้ร่ายคาถามาพูดโน้มน้าวใจ หาข้อเสนอมาร้อยแปดพันเก้า เทพแห่งความฝันก็นิ่งเฉยไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น จนมาวันหนึ่งเทพแห่งความฝันได้รับการช่วยเหลือจากชายคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนั้น แต่เขาจะออกมาได้จริงๆหรือเปล่า เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร เพราะของถูกขโมยไปหมดแล้ว ของเหล่านั้นคือพลังส่วนหนึ่งของเขา
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งของ Dreamดรีม หรือ มอร์เฟียส ราชาแห่งความฝัน (รับบทโดย ทอม สเตอร์ริดจ์) ที่ถูกจองจำโดย ร็อดเดอริก เบอร์เจสส์ นักเวทมือสมัครเล่น ที่ในตอนแรกตั้งใจจะเรียก Death เดธ เทพแห่งความตาย มาเพื่อขอให้คืนชีวิตลูกชายที่เสียชีวิตจากสงคราม แต่เกิดเหตุผิดพลาด ทำให้ดรีมปรากฎกาย และถูกขโมยสมบัติล้ำค่าประจำตัวประกอบไปด้วย หน้ากาก ผงทราย และทับทิม ซ้ำร้ายยังถูกกักขังไว้ในวงคาถาอาคม ไม่สามารถหนีไปไหนได้ การหายไปของนักสร้างความฝันทำให้โลกเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ บางคนหลับไม่ตื่น บางคนหลับไม่ลง บางคนละเมอขณะหลับ แต่เมื่อดรีมรอดพ้นจากการคุมขังที่ยาวนานกว่า 100 ปี เขาไม่รอช้าออกตามล่าหาสมบัติวิเศษทั้งสามอย่าง และมุ่งมั่นสร้างความฝันขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างทางเขาต้องตามหาความฝันและฝันร้ายที่หายไป
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านนิยายหรือการ์ตูนเดอะแซนด์แมนมาก่อนอย่างผู้เขียน
ก็ชอบซีรีส์ The Sandman อยู่นะ ชอบครึ่งทาง ชอบ EP1-4 และ EP.5 ตอนท้าย นอกนั้นก็รู้สึกว่าดูได้ แต่ไม่ได้อิน บางทีรู้สึกหนักอึ้งกับเนื้อเรื่องไม่น้อย ย่อยแทบไม่ทัน ดูรวดเดียว มีเหนื่อย คิดว่าถ้าค่อย ๆ ดู น่าจะสนุก เพราะแต่ละตอนเข้มข้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่าติดตาม เชื่อว่าคนที่เป็นแฟนนิยายน่าจะต้องถูกใจเวอร์ชั่นคนแสดง กับเนื้อหาที่เยอะ ละเอียดซับซ้อน ตัวละครเพียบ เหตุการณ์เกิดในหลายสถานที่ ดูแล้วน่าจะเชื่อมโยงกับในหนังสือได้ดี ถึงจะได้ยินมาว่า ซีรีส์กับในหนังสือมีส่วนไม่เหมือนกันบ้างก็เถอะ
ซีรีส์ทุนสูง 160 ล้านที่เป็นคอมมิคขึ้นหิ้งมาก่อนของค่าย Vertigo ที่อยู่ในเครือ DC Comics เป็นโปรเจ็กต์ที่ถูกปลุกปั้นมานานหลายต่อหลายคนอยากทำ แต่สุดท้ายก็ตกมาอยู่ในมือของเดวิด เอช โกเยอร์ นักเขียนบทดังจากหนังของโนแลน และก็ผันตัวเองมาทำหนัง Man of steel ซีรีส์ Foundation และอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นฟอร์มใหญ่แทบทั้งนั้น โดยมีนีลไกแมนผู้เขียนเรื่องนี้เองมาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์คุมอย่างใกล้ชิดด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ผลงานที่ออกมาค่อนข้างเชื่อได้ว่าตรงตามที่ผู้สร้างต้องการแน่ๆ
ข้อดีของเรื่องนี้ก็คืองานภาพแฟนตาซีที่แปลกแหวกแนวและชวนหลงไหลตั้งแต่ในคอมมิคมาก่อนแล้ว การได้มาทำเป็นซีรีส์ทุนสูงก็ทำให้ภาพที่ออกมาเหมือนหลุดมาจากฉากในคอมมิคเป๊ะๆ เลย ซึ่งแค่งานภาพอย่างเดียวก็แทบจะทำให้ผู้ชมติดตามดูด้วยความตื่นตาตื่นใจได้มากพอแล้ว ตัวเรื่องยังตีความเทพต่างๆ ใหม่ในแบบของตัวเอง หรือพูดให้ชัดคือในแบบของนีลไกแมน ถ้าใครเคยได้ดูผลงานแนวเทพของเขามาก่อนอย่าง Good Omens กับ American Gods ที่อยู่ในค่าย Prime Video ของ Amazon หรือลูซิเฟอร์ฉบับซีรีส์ (ดึงเอาตัวละครนีลไกแมนมาใช้) ก็จะเข้าใจว่าเขามีไสตล์การบิดปรับเรื่องเทพในตำนานให้มาอยู่ในยุคสมัยใหม่ได้อย่างน่าสนใจมาก แต่ละเรื่องแม้เทพจะมีซ้ำกันตัวเดิมๆ แต่ก็เปลี่ยนแปลงคาแรกเตอร์เรื่องราวต่างกันไปหมด
เปิดหัวได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ แม้เราเคยอ่านพล็อตและบางส่วนของฉบับคอมมิกที่เริ่มด้วยพิธีอัญเชิญของพวกจอมเวทจนแอบกลัวว่าภาพมันจะออกมาเชยเกินไปหรือไม่ ทว่าเอาเข้าจริงทั้งงานซีจีและการออกแบบศิลป์ย้อนยุคไปราวปี 1900 ต้น ๆ ทำได้สวยงามมาก และการใช้เสียงบรรยายของตัวเอกที่นำแสดงโดย ทอม สเตอร์ริดจ์ (Tom Sturridge) เองก็ดูขลังลึกลับน่าติดตามดี บทพูดก็ชวนให้อยากรู้ด้วยว่าเทพที่เป็นนามธรรมอย่างเช่น นิมิต (ความฝัน ดรีม มอร์เฟียส แซนด์แมน หรือเจ้าแห่งฝันร้าย มีชื่อเรียกหลากหลาย) นั้นมีความคิดอย่างไร
เนื้อเรื่องนั้นต้องบอกว่าจากคอมมิคบอกเลยว่าทำได้ดีอยู่แล้ว รีวิวซีรี่ย์ The Sandman
และเรื่องนี้ดัดแปลงมาได้เข้าใจง่ายแต่แฝงอะไรได้เยอะมากจริงๆครับ รวมถึงในการเล่าในแต่ละช่วงแต่ละ EP ทำได้ดีมาก 1-5 เน้นความแฟนตาซี สายเวทย์น่าจะถูกใจแน่ๆครับ แอคชั่นพอสนุก แต่ในส่วนหลังๆ 6-10 จะเน้นไปที่เจาะลึกประเด็นแต่ละส่วน ความสัมพันธ์ ความคิดของมนุษย์ เจตนาต่างๆที่อาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าช่วงแรกแต่ดีมากจริงๆรวมถึงเมื่อตอนหลังๆสามารถปิดท้ายได้อย่างลงตัว
คลายปมก่อนหน้าทั้งหมดและสื่อออกมาได้ดีไม่ต้องกลัวว่าไม่ติดตามมาก่อนจะไม่เข้าใจเพราะช่วงแรกของหนังสามารถเล่าและแปลงตามความเข้าใจได้ดีมาก และส่วนตัวถ้าเครื่องติดแล้วจะไม่น่าเบื่อและสามารถเข้าใจได้เลยว่าในตอนจบมันลงตัวไปหมดทั้ง เรื่องที่ปูมา และ ในอนาคต รวมถึงการเล่าเรื่องในแต่ละส่วนมีแนวหนังแตกต่างกันแต่ละ EP เจาะประเด็นคนละแบบแต่ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก แต่อาจจะลึกไปสำหรับบางท่านได้ในหลายๆช่วง เช่น EP 6-8 อาจจะมีหลุดได้ถ้าไม่ได้ตั้งใจหรือแบบข้ามอะไรครับแต่เรื่องราวผมว่ายังคงทำได้แน่นอยู่นะแต่จะเล่าเรียบๆ
ปัญหาของเรื่องคือหลังจากนั้นคือตัวเรื่องเปิดปมใหม่เป็นเรื่องราวตัวละครวอร์เท็กที่มีอำนาจทำให้ฝันปั่นป่วน
ซึ่งโยงมาถึงฝันร้ายที่หนีหายไปตอนแซนด์แมนโดนจับตัวไป ซึ่งการเดินเรื่องหลังจากนี้แทบจะลดความแฟนตาซีลงเกือบหมด กลายเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวบนโลกปกติไปเรื่อยๆ ผ่านตัวละครสาวผิวสีกับตัวฝันร้ายที่กำลังวางแผนการใหญ่ต่อโลก โดยมีแนวฆาตกรสยองขวัญปนมานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนั้น ซึ่งพอเรื่องลดความเป็นแฟนตาซีไปขนาดนั้นก็ทำให้ภาพวิชวลสวยๆ ในตอนแรกหายไปด้วย เรื่องราวเป็นดราม่าแบบดูยืดอืดเยิ่นเย้อมาก
สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบและอยากตำหนิอีกอย่างคือการที่เรื่องดัดแปลงเพศ เชื้อชาติ สีผิวตัวละครหลักหลายตัวมาก ซึ่งที่ผ่านมา Netflix ก็มักจะทำประจำอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้คือบิดเปลี่ยนแปลงไปเยอะจริงๆ ผู้เขียนไม่มีปัญหากับการเอาคนดำมาเล่น แต่การที่เปลี่ยนเอาอะไรๆ ก็คนดำ แทบทั้งเรื่องมีแต่ตัวละครผิวดำเป็นอะไรที่รู้สึกว่าเกินไปเหมือนกันเมื่อเทียบกับคอมมิค
คือไม่รู้จะเปลี่ยนไปเพื่ออะไร แต่ตรงนี้ยังแค่ผิวๆ ในเรื่องยังพยายามยัด LGTBQ เข้ามาค่อนข้างมาก มีฉาก SEX พวกนี้เข้ามาหลายฉาก อาจจะไม่ถึงกับเห็นตรงๆ แต่หลายครั้งก็รู้สึกแบบใส่มาทำไม? แค่บอกว่าเป็นเกย์ไม่พอ ต้องมีฉาก SEX ด้วยงั้นหรือ ซึ่งมันทำให้เรื่องนี้ถูกฝรั่งจำนวนมากล้อว่าเป็น Wokeman ไปเลย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันมีส่วนทำให้ดูหนักขนาดนั้นได้จริงๆ